ญาญ่าญิ๋ง ในงาน ดาวรุ่งลูกทุ่ง เนชั่น U ท่ามกลางสายฝน
ณ ข่วงนคร ห้าแยกหอนาฬิกา เมื่อวันที่ 4 เมษายน ปี 55
ร้องเพลงให้ชาวลำปางฟัง 5 เพลง ในชุดสีเงิน
เสียดายแบตของผมหมดซะก่อน บันทึกไว้ไม่ทันจบเพลง
แต่เห็นบรรยากาศตั้งแต่เดินลงจากรถตู้ไปขึ้นเวที
เป็นธรรมชาติดีครับ .. สมบทใน ต้มยําลําซิ่ง
http://drama.kapook.com/view35418.html
งานรำลึกวันประวัติศาสตร์ รถไฟ-รถม้า ลำปาง
จังหวัดลำปาง ร่วมกับ สมาคมรถม้าจังหวัดลำปาง
และการรถไฟแห่งประเทศไทย
จัดงานรำลึกประวัติศาสตร์รถไฟ รถม้า นครลำปาง ครั้งที่13
ระหว่างวันที่ 1 – 5 เมษายน 2555
ณ บริเวณหน้าสถานีรถไฟนครลำปาง จังหวัดลำปาง
โดยการจัดงานรำลึกในครั้งนี้มีการแสดง และกิจกรรมให้นักท่องเที่ยวได้ชมและร่วมสนุกมากมาย และหลากหลาย เช่น ในวันเปิดงาน (1 เม.ย. 55) เช้าตรู่มีการทำบุญถวายภัตตาหารเช้าแด่พระภิกษุ สามเณร จำนวน 55 รูป และช่วงค่ำเชิญนั่งขบวนรถไฟเที่ยวพิเศษตู้โบกี้ไม้โบราณ ร่วมรับประทานอาหารข้าวแลงขันโตก ชมการแสดงแสงสีเสียง ดนตรีโฟล์กซอง การแสดงชุดคาวบอยรถม้า คาวบอยอินเดียน และไบค์เกอร์ การประกวดหนูน้อยคาวบอย
ทุกวันชมนิทรรศการประวัติศาสตร์รถไฟ-รถม้า ชมรถไฟเล็ก ชมสะพานประวัติศาสตร์ยุคสงครามโลกครั้งที่2 ชมการแสดงดนตรีและบันเทิง การแสดงดนตรีพื้นบ้าน สะล้อ ซอ ซึง การแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน จากกลุ่มประชาชน นักเรียน เยาวชน ที่จะหมุนเวียนกันมาแสดงให้ชมไม่ซ้ำกันในแต่ละวัน อาทิ กลุ่มข่วงพญาสำเภา กลุ่มสะป๊ะครัวเมือง กลุ่มจุมสะหรี่ เป็นต้น ในงานเดินชมและจับจ่ายสินค้ากาดหมั้ว ครัวเมือง และการจำหน่ายสินค้า OTOP ในราคาพิเศษ วันสุดท้ายของงานชมการแสดงจากศิลปินเหมยน้ำปู ชุดตำรวจเหมย
การจัดงานในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อรำลึกถึงความสำคัญขิงกิจการรถไฟ รถม้า ที่ได้เข้ามาสู่จังหวัดลำปาง เป็นครั้งแรกในอดีตเมื่อ 1 เมษายน 2459 ซึ่งได้สร้างความเจริญรุ่งเรืองทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม แก่ชาวนครลำปางมาจนถึงปัจจุบัน เพื่ออนุรักษ์และเสริมสร้างอัตลักษณ์ด้านศิลปวัฒนธรรมวิถีชีวิตของชาวลำปาง ที่ถือว่ามีเสน่ห์และมีเอกลักษณ์ในตัวเองให้ดำรงคงอยู่และเผยแพร่สู่สาธารณ ชน นอกจากนั้นยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจและตลาดการท่องเที่ยวของจังหวัดลำปางอีกด้วย
สำหรับการจัดงานรำลึกวันประวัติศาสตร์รถไฟ รถม้า นครลำปาง ครั้งที่13 จะมีพิธีเปิดในวันที่ 1 เมษายน 2555 เวลา 18.00 น. ประชาชนและนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศที่สนใจ สามารถเข้าร่วมงานได้ตามวันและเวลาดังกล่าว หรือสอบถามรายละเอียดได้ที่สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดลำปาง โทรศัพท์ 0-5426-5061, 0-5426-5077 และสมาคมรถม้าจังหวัดลำปาง 0-5431-8809
กิจกรรมในงาน (ตลอดวัน)
– ชมตลาดย้อนยุค (กาดหมั้ว) แต่งกายย้อนยุค หรือพื้นเมือง
– ชิมอาหารพื้นเมือง ชมเลือกซื้อสินค้าพื้นบ้าน OTOP
– ชมนิทรรศการประวัติศาสตร์รถไฟ รถม้า นครลำปาง
– ประกวดคาวบอยชาย & หญิง และหน่วยงานองค์การในจังหวัดลำปาง
– การแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน
– นั่งรถม้าชมเมืองรอบละ 50 บาท นั่งรถไฟเล็กแลมป์เทค ชมเมืองลำปาง
– การจัดมหกรรมอาหาร บริการท่องเที่ยว
– ข้าวแลงสะโตกคำ พร้อมการแสดงสื่อผสม แสง สี เสียง (1เม.ย.55)
– มหกรรมสินค้าราคาถูก สหกรณ์ผู้ผลิตพบผู้บริโภค และสวนสนุก
http://thai.tourismthailand.org/index.php?id=185&event_id=3592
ร่ำเปิง สุรจันทร์ จันทร์ทองเครือ
คุณสุรจันทร์ จันทร์ทองเครือ (อ้ายจันทร์ ของน้อง ๆ)
เป็นบุคลากรของมหาวิทยาลัยเนชั่น ลำปาง
เป็นที่รักของทุกคนในที่ทำงาน และเป็นคนสนิทอีกคนหนึ่งของท่านอธิการ
เกิดและเรียนที่จังหวัดแพร่ หลังรับราชการทหารตามภารกิจลูกผู้ชายแล้ว
ก็มามีครอบครัวที่บ้านปงแสนทอง ต.ปงแสนทอง อ.เมือง ลำปาง มีธิดา 2 คน
อายุ 44 ปี เกิด 2511
เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งตับวันที่ 18 มี.ค.55
บุคลากรรวมใจเป็นเจ้าภาพคืนวันที่ 21 มี.ค.55
แล้วทำพิธี ฌาปนกิจที่สุสานปงแสนทอง บ่ายวันที่ 22 มี.ค.55
ตำแหน่งของพี่สุรจันทร์เกี่ยวข้องกับทุกฝ่ายคือ พลขับ
ภายในงานมี อ.วีรพันธ์ แก้วรัตน์ อ่านกลอนไว้อาลัย
และ ผศ.ดร.พงษ์อินทร์ รักอริยะธรรม วางผ้ามหาบังสุกุล
http://www.facebook.com/profile.php?id=100003249720253
ประชุมผู้ปกครอง บว.
19 มี.ค.55 โรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย ให้ความสำคัญกับ stakeholder โดยเฉพาะผู้ปกครองของนักเรียนกว่า 792 คนของชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เมื่อปีการศึกษา 2554 จากการร่วมงานประชุมผู้ปกครอง พบว่ามีการนำเสนอ อัตลักษณ์ (identity) อย่างชัดเจน คือ “รักการทำดี วิชาการมาตรฐานสากล สร้างคนป็นผู้นำ” และมีการวางระบบในการดำเนินการกับผู้ปกครอง สร้างกลไกให้เกิดขับเคลื่อนโรงเรียนได้อย่างชัดเจน
โรงเรียนให้ความสำคัญ ต่อ บทบาทของผู้ปกครอง คือ ให้แต่ละห้องเรียนคัดเลือก เครือข่ายผู้ปกครองแต่ละห้องเรียน มาห้องละ 5 คน นำทั้ง 16 ห้องมารวมกัน คัดเลือกเป็นเครือข่ายผู้ปกครองระดับชั้นได้ 5 คน แล้วนำไปคัดเลือกเครือข่ายผู้ปกครองระดับโรงเรียน .. ผู้ปกครองที่เห็นความสำคัญของบทบาทนี้ และคิดว่าจะเข้าไปทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น ทั้งต่อตัวนักเรียน และโรงเรียนก็จะอาสาเข้าไปเป็นเครือข่าย และร่วมกันระดมสมองในการพัฒนาโรงเรียน เป็นอีกกลไกหนึ่งของ stakeholder ที่เข้มแข็ง
ประวัติจังหวัดลำปาง
ได้รับแจ้งจาก คุณชิตพร พูลประสิทธิ์
ให้ปรับโลโก้ใหม่ เมื่อ 20 ธันวาคม 2560
ประวัติศาสตร์จังหวัดลำปาง
จังหวัดลำปาง เป็นจังหวัดที่มีความเก่าแก่และมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์มาแล้วไม่น้อยกว่า 1,300 ปี ตั้งแต่สมัยหริภุญชัย (พระนางจามเทวี) เป็นต้นมา คือ ราวพุทธศตวรรษที่ 13 ชื่อของเมืองเขลางค์อันเป็นเมืองในยุคแรก ๆ และเมืองนครลำปาง ปรากฏอยู่ในหลักฐานทางประวัติศาสตร์หลายแห่ง ทั้งจากตำนานศิลาจารึกพงศาวดาร และจากคำที่นิยมเรียกกันโดยทั่วไปอย่างแพร่หลาย ได้แก่ตำนานจามเทวี ชินกาลบาลีปกรณ์ ตำนานมูลศาสนา ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ ตำนานเจ้าเจ็ดตน พงศาวดารโยนก
คำว่า ‘”ละกอน” หรือ “ละคร” (นคร) เป็นชื่อสามัญของเมืองเขลางค์ที่นิยมเรียกกันอย่างแพร่หลาย ทั้งในตำนานและภาษาพูดโดยทั่วไป แม้แต่จังหวัดใกล้เคียงเช่น แพร่ น่าน เชียงราย ลำพูน เชียงใหม่ มักจะเรียกชาวลำปางว่า “จาวละกอน” ซึ่งหมายถึง ชาวนคร คำว่าละกอนมีชื่อทางภาษาบาลีว่า เรียกว่า “เขลางค์ “เช่นเดียวกับ ละพูรหรือลำพูน ซึ่งทางภาษาบาลีเรียกว่า “หริภุญชัย”และเรียกลำปางว่า “ลัมภกัปปะ” ดังนั้น เมืองละกอนจึงหมายถึง บริเวณอันเป็นที่ตั้งของเมืองเขลางค์ คือเมืองโบราณรูปหอยสังข์ ซึ่งตั้งอยู่บริเวณฝั่งตะวันตกของแม่น้ำวัง อยู่ในตำบลเวียงเหนือ อำเภอเมืองลำปาง จังหวัดลำปาง
ส่วนคำว่า”ลำปาง” เป็นชื่อที่ปรากฎหลักฐานอย่างชัดแจ้งในตำนานพระธาตุลำปางหลวง ซึ่งมีชื่อเรียกเป็นภาษาบาลีว่า “ลัมภกัปปนคร” ตั้งอยู่บริเวณลำปางหลวง อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง อยู่ห่างจากตัวเมืองลำปางไปทางทิศใต้ตามแม่น้ำวังประมาณ 16 กิโลเมตร อันเป็นที่ตั้งของวัดพระธาตุลำปางหลวงในปัจจุบัน ตัวเมืองลัมภกัปปนครมีพื้นที่ประมาณ 200 ไร่
ลักษณะของเมือง ศึกษาดูจากภาพถ่ายทางอากาศและการเดินสำรวจทางภาคพื้นดิน พบว่ามีคันคูล้อมรอบ 3 ชั้น (แต่ปัจจุบันเหลือเพียงบางส่วนเท่านั้น) นอกจากนี้พบเศษกระเบื้อง ภาชนะดินเผา เศียรพระพุทธรูปดินเผาสมัยหริภุญชัยและสถูปแบบสมัยหริภุญชัย สันนิษบานว่าเมืองลัมภกัปปะนี้น่าจะเป็นเมืองกัลปนาสงฆ์ (เมืองทางศาสนา) มากกว่าจะเป็นเมืองทางอาณาจักรที่มีอำนาจทางการปกครองบ้านเมืองอย่างเป็นระเบียบแบบแผน
ตามตำนาน วัดพระธาตุลำปางหลาง (ฉบับสาขาสมาคม เพื่อการรักษาสมบัติวัฒนธรรมประจำจังหวัดลำปาง) ได้กล่าวถึงเรื่องราวของเมืองลำปางไว้ว่า พระพุทธเจ้าได้เสด็จด้วยลำดับบ้านใหญ่เมืองน้อย ทั้งหลาย พระพุทธเจ้าไปรอดบ้านอันหนึ่งชื่อ ลัมพการีวัน พระพุทธเจ้านั่งอยู่เหนือดอยม่อนน้อย สูงสะหน่อย ยังมีลัวะ ชื่ออ้ายคอน มันหันพระพุทธเจ้า เอาน้ำผึ้งใส่กระบอกไม้ป้างมาหื้อทานแก่พระพุทธเจ้า กับหมากพ้าว 4 ลูก พระพุทธเจ้ายื่นบอกน้ำเผิ้งหื้อแก่มหาอานนท์ถอกตกปากบาตร พระพุทธเจ้าฉันแล้ว ชัดบอกไม้ไปตกหนเหนือ แล้วพระพุทธเจ้าทำนายว่า สถานที่นี้จักเป็นเมืองอันหนึ่งชื่อ “ลัมภางค์”
ดังนั้นนามเมืองลำปาง จึงหมายถึงชื่อของเมืองอันเป็นที่ตั้งของพระธาตุลำปางหลวงในปัจจุบัน
จังหวัดลำปางเดิมชื่อ “เมืองนครลำปาง” จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ได้ระบุไว้อย่างชัดเจน ได้แก่ ศิลาจารึก เลขทะเบียน ลป.1 จารึกเจ้าหมื่นคำเพชรเมื่อ พ.ศ.2019 และศิลาจารึกเลขทะเบียน ลป.2 จารึกเจ้าหาญสีทัต ได้จารึกชื่อเมืองนี้ว่า “ลคอร” ส่วนตำนานชินกาลมารีปกรณ์ ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ ตำนานเมืองเชียงแสน ตลอดจนพงศาวดารของทางฝ่ายเหนือ ก็ล้วนแล้วแต่เรียกชื่อว่า เมืองนครลำปาง แม้แต่เอกสารทางราชการสมัยรัตนโกสินตอนต้น ก็เรียกเจ้าเมืองว่า พระยานครลำปาง นอกจากนี้จารึกประตูพระอุโบสถวัดบุญวาทย์วิหาร ก็ยังมีข้อความตอนหนึ่งจารึกว่า เมืองนครลำปาง แต่เมื่อมีการปฏิรูปบ้านเมืองจากมณฑลเทศาภิบาลเป็นจังหวัด ตามคำสั่งของกระทรวงมหาดไทย ลงวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2459 ปรากฏว่า ชื่อของเมืองนครลำปาง ได้กลายมาเป็นจังหวัดลำปาง มาจนกระทั่งทุกวันนี้
ประวัติความเป็นมาของเมืองนครลำปาง
เรื่องราวของเมืองนครลำปางในยุคแรกๆ หรือยุคเมืองเขลางค์นั้น ส่วนใหญ่ทราบหลักฐานในตำนาน ชินกาลบาลีปกรณ์ ซึ่งได้กล่าวถึงประวัติการสร้างเขลางค์ ในราวต้นพุทธศตวรรษที่ 13 ว่า
ในราว พ.ศ.1200 พระสุเทวฤษี ซึ่งอาศัยอยู่ที่ดอยสุเทพได้เชิญชวนให้พระสุกทันตฤษีแห่งละโว้ มาช่วยกันสร้างเมืองนครหริภุญชัย เมื่อสร้างเสร็จแล้วจึงไปทูลขอผู้ปกครองจากพระเจ้านพราชกษัตริย์แห่งละโว้ (ลพบุรี) ซึ่งได้ประทานพระนางจามเทวี ราชธิดาให้มาเป็นผู้ปกครอง พร้อมกับนำพระภิกษุสงฆ์ผู้รอบรู้ในพระไตรปิฎก พรามณ์โหรา นักปราชญ์ราชบัณฑิต แพทย์ ช่างฝีมือ เศรษฐี คหบดีอย่างละ 500 คนมาด้วย ขณะนั้นพระนางทรงครรภ์ เมื่อมาถึงได้ราว 3 เดือน ก็ประสูติพระโอรสฝาแฝด ผู้พี่ทรงพระนามว่า “เจ้ามหันตยศกุมาร” ส่วนผู้น้องทรงพระนามว่า “เจ้าอนันตยศกุมาร” เมื่อพระโอรสทั้ง 2 ทรงเจริญวัยขึ้น ประกอบกับพระนางชราภาพมากแล้ว จึงได้ทำพิธีราชาภิเษกให้ เจ้ามหันตยศกุมารขึ้นเป็นกษัตริย์ ครองเมืองหริภุญชัย ส่วนเจ้าอนันตยศกุมารทรงดำรงตำแหน่ง อุปราช
ตำนานเล่าว่า เมื่อพระนางจามเทวีได้ราชาภิเษก ให้เจ้ามหันตยศกุมารขึ้นเป็นกษัตริย์ครองเมืองหริภุญชัยแล้ว ฝ่ายเจ้าอนันตยศกุมารก็ปรารถนาอยากไปครองเมืองแห่งใหม่ จึงนำความขึ้นกราบบังคมทูลให้พระมารดาได้ทรงทราบ พระนางทรงแนะนำให้ไปหา ฤษีวาสุเทพ เพื่อขอให้สร้างเมืองถวาย แต่ฤษีวาสุเทพได้แนะนำให้ไปหาพรานเขลางค์ซึ่งอยู่ที่ภูเขาบรรพต ดังนั้นพระเจ้าอนันตยศจึงพาข้าราชบริพารเสด็จออกจากหริภุญชัยไปยังเขลางค์บรรพต ครั้นเมื่อพบพรานเขลางค์แล้ว ก็ทรงขอให้นำไปพบพระสุพรหมฤษีบนดอยงามหรือภูเขาสองยอด แล้วขออาราธนาช่วยสร้างบ้านเมืองให้ พระสุพรหมฤษีจึงขึ้นไปยังเขลางค์บรรพตเพื่อมองหาชัยภูมิสร้างเมือง เมื่อมองไปทางยังทิศตะวันตกของแม่น้ำวังกนที ก็เห็นสถานที่แห่งหนึ่งเป็นชัยภูมิที่เหมาะสม จึงได้สร้างเมืองขึ้นที่นั่น โดยกำหนดให้กว้างยาวด้านละ 500 วาแล้วเอาศิลาบาตรก้อนหนึ่งมาตั้งเป็นหลักเมืองเรียกว่า “ผาบ่อง” เมื่อสร้างเสร็จแล้วจึงขนานนามตามชื่อ ของนายพระหมผู้นำทางและมีส่วนร่วมในการช่วยสร้างเมืองว่า “เขลางค์นคร” และยังมีชื่อเรียกในตำนานกุกุตนครว่า”ศิรินครชัย” อีกนามหนึ่ง
ภายหลังสร้างเมืองแล้วเสร็จ พระเจ้าอนันตยศได้ทรงราชาภิเษกเป็นกษัตริย์ทรงพระนามว่า “พระเจ้าอินทรเกิงการ” พระองค์ครองเมืองเขลางค์อยู่ได้ไม่นาน ก็ทรงมีความรำลึกถึงมารดา จึงได้ทูลเชิญเสด็จพระนางจามเทวี พร้อมทั้งสมณชีพราหมณ์ มายังเมืองเขลางค์นคร ทรงสร้างเมืองให้พระราชมารดาประทับอยู่เบื้องปัจฉิมทิศแห่งเขลางค์นคร ให้ชื่อว่า “อาลัมพางค์นคร”
เรื่องราวเกี่ยวกับที่ตั้งของเมืองเขลางค์นคร
เมื่อสำรวจผังเมือง จากภาพถ่ายทางอากาศและการสำรวจภาคพื้นดิน รวมทั้งการศึกษาเรื่องราวในตำนานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเมืองเขลางค์พบว่า ผังเมืองอันเป็นที่ตั้งของเมืองเขลางค์แบ่งออกเป็น 3 ยุคได้แก่
ยุคแรกยุคสมัยจามเทวี
ตั้งอยู่ในเขตตำบลเวียงเหนือ สร้างขึ้นราว พ.ศ. 1223 โดยพระสุพรหมฤษีสร้างถวายพระเจ้าอนันตยศกุมารหรือ อินทรเกิงการ โอรสของพระนางจามเทวี เป็นเมืองคู่แฝดของเมืองหริภุญชัย ผังเมืองมีลักษณะคล้ายรูปหอยสังข์ (สมุทรสังขปัตตสัณฐาน) กำแพงเมืองชั้นบนเป็นอิฐ ชั้นล่างเป็นคันดิน 3 ชั้น สันนิษฐานว่ากำแพงอิฐที่สร้างบนกำแพงดินเป็นการต่อเติมในสมัยหลัง มีความยาววัดโดยรอบ 4,400 เมตร สร้างในพื้นที่ประมาณ 600 ไร่ มีประตูเมืองสำคัญ ๆ ได้แก่ ประตูม้า ประตูผาป่อง ประตูท่านาง ประตูต้นผึ้ง ประตูป่อง ประตูนกกดและประตูตาล
ปูชนียสถานที่สำคัญได้แก่ วัดพระแก้วดอนเต้า ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกต) ระหว่าง พ.ศ. 1979 – 2011 นอกจากนี้ยังมีโบราณสถานสำคัญอีกหลายแห่งได้แก่ วัดอุโมงค์ซึ่งเป็นวัดร้าง อยู่บริเวณประตูตาล ส่วนวัดที่อยู่นอกกำแพงเมืองได้แก่ วัดป่าพร้าว อยู่ทางด้านเหนือ วัดพันเชิง วัดกู่ขาวหรือเสตกุฎาราม ซึ่งเคยเป็นที่ประดิษฐานพระสิกขีปฏิมากร ในสมัยพระนางจามเทวี วัดกู่แดง วัดกู่คำ อยู่ทางทิศตะวันตก ในปัจจุบันนี้บริเวณวัดพันเชิงและวัดกู่แดง ถูกทำลายจนไม่เหลือสภาพของโบราณอยู่อีกต่อไป ระหว่างวัดกู่ขาวมายังเมืองเขลางค์มีแนวถนนโบราณ ทอดเข้าสู่ตัวเมืองทางประตูตาล สันนิษฐานว่าสร้างมาตั้งแต่สมัยพระนางจามเทวี ขณะมาประทับอยู่ในเขลางค์นคร แนวถนนโบราณนี้ยังใช้เป็นคันกั้นน้ำป่าเพื่อทดน้ำเข้าสู่คูเมืองและแบ่งเข้า ไปใช้ในตัวเมืองด้วย ระดับคูน้ำจะสูงกว่าแม่น้ำสายใหญ่ เมืองในยุคนี้มีการเก็บน้ำไว้ในคอรอบทิศ โดยให้มีระดับสูงกว่าแม่น้ำสายใหญ่ที่ไหลผ่านบริเวณใกล้เคียง ซึ่งเป็นแบบเฉพาะเมืองรูปหอยสังข์ยุคนี้เท่านั้น
เมืองเขลางค์เป็นเมืองคู่แฝดกับเมืองหริภุญชัย มีชื่อในตำนานว่า เมืองละกอน หรือลคร ภายหลังจากสมัยพระเจ้าอนันตยศแล้ว สภาพของเมืองฝาแฝดกับหริภุญชัยก็หมดไป สันนิษฐานว่า เขลางค์นครมีเจ้าผู้ครองต่อมาอีกประมาณ 500 ปีแต่ไม่ปรากฏพระนามในหลักฐานหรือเอกสารใดๆ จนกระทั่งถึง พ.ศ. 1755 ได้ปรากฏชื่อของเจ้านายเมืองเขลางค์พระองค์หนึ่งมีพระนามว่า เจ้าไทยอำมาตย์แห่งเขลางค์ ได้แย่งชิงอำนาจจากพระยาพิณไทย เจ้าเมืองลำพูนแล้วสถาปนาพระองค์ปกครองหริภุญชัยสืบต่อกันมาถึง 10 รัชกาล จนกระทั่งถึงสมัยพระยายีบา ก็สูญเสียอำนาจให้แก่พระยามังราย ใน พ.ศ. 1844
ยุคที่สองสมัยลานนาไทย
เมืองเขลางค์ยุคที่ 2 เป็นเมืองที่สร้างขึ้นในสมัยลานนาไทย มีเนื้อที่ประมาณ 180 ไร่ กำแพงยาว 1,100 เมตร ตั้งอยู่ในตำบลเวียงเหนือ อยู่ถัดจากเมืองเขลางค์ยุคแรกลงมาทางใต้ เป็นเมืองที่ก่อกำแพงด้วยอิฐ ประตูเมืองที่มีชื่อปรากฏคือ ประตูเชียงใหม่ ประตูนาสร้อย ประตูปลายนาอันเป็นประตูที่อยู่ร่วมกับประตูนกกต ตอนท่อนหัวสังข์ของตัวเมืองเก่าและประตูป่อง ที่ประตูป่องยังคงมีซากหอรบรุ่นสมัยเจ้าคำโสมครองเมืองลำปาง ซึ่งได้ใช้เป็นปราการต่อสู้กับพม่าครั้งสำคัญ ในปี พ.ศ. 2330 พม่าล้อมเมืองอยู่เป็นเวลานาน จนกระทั่งกองทัพทางกรุงเทพฯ ยกขึ้นมาช่วยขับไล่พม่าแตกพ่ายไป
โบราณสถานสำคัญในเมืองเขลางค์ยุคที่ 2 ได้แก่วัดปลายนาซึ่งเป็นวัดร้างและวัดเชียงภูมิ หรือวัดปงสนุกในปัจจุบัน ซึ่งเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าพ่อลิ้นก่านที่ดำน้ำชิงเมืองแข่งกับเจ้าฟ้าหลวง ชายแก้ว (บิดาของเจ้า 7 ตน) แต่เจ้าลิ้นก่านแพ้จึงถูกพม่าประหารชีวิต สันนิษฐานว่าพระเจ้าลิ้นก่านคงจะเป็นเจ้าสกุลล้านนาไทยองค์สุดท้ายที่อยู่ใน เมืองเขลางค์
เมืองเขลางค์สมัยลานนาไทย ได้รวมเอาเมืองเขลางค์ยุคแรก (เมืองรูปหอยสังข์) กับเมืองเขลางค์ยุคใหม่เช้าด้วยกัน ตั้งอยู่เขตฝั่งตะวันตกของแม่น้ำวัง ซึ่งเรียกกันอย่างแพร่หลายในตำนานต่าง ๆ ของทางเหนือว่า”เมืองละกอน”
ความสำคัญของเมืองละกอนในสมัยราชวงศ์เม็งราย (พ.ศ.1839 – 2101)
เมื่อพระเจ้าเม็งรายสร้างเมืองเชียงใหม่เป็นราชธานี ในปี พ.ศ.1839 แล้ว ได้แผ่ขยายอิทธิพลมาครอบครองลำพูนและเมืองลคร (เขลางค์) กล่าวคือในพ.ศ. 1844 พระเจ้าเม็งรายโปรดให้ขุนคราม โอรส ยกกองทัพไปตีเมืองลำพูน พระยายีบาสู้ไม่ได้ จึงอพยพหนีมาพึ่งพระยาเบิกพระอนุชาที่เมืองลคร (เขลางค์) กองทัพของพระเจ้าเม็งรายซึ่งมีขุนครามเป็นแม่ทัพ ได้ยกติดตามมาประทะกับกองทัพของพระยาเบิกที่ริมน้ำแม่ตาล ปรากฏว่าพระยาเบิกเสียชีวิตในการสู้รบ ส่วนพระยายีบาเจ้าเมืองลำพูน ได้พาครอบครัวหนีไปพึ่งเจ้าเมืองสองแคว (พิษณุโลก ) ประทับอยู่ที่นั่นจนสิ้นพระชนม์ จึงสิ้นวงศ์เจ้าผู้ครองเขลางค์ยุคแรก
ส่วนเรื่องราวในตำนานชินกาลมาลีปกรณ์ ได้กล่าวเพิ่มเติมต่อไปอีกว่า ภายหลังจากที่พระเจ้าเม็งรายได้รับชัยชนะต่อพระยาเบิกแล้ว ได้แต่งตั้งชาวมิลักขะเป็นเจ้าเมืองแทน เจ้าเมืองคนใหม่พยายามชักชวนชาวเมืองเขลางค์สร้างเมืองใหม่ ซึ่งกลายเป็นเมืองเขลางค์ยุค 2 หลังจากนี้ก็มีเจ้าผู้ครองนครซึ่งมียศเป็นหมื่นปกครองสืบต่อกันมา เป็นเวลานาน จนกระทั่งสิ้นราชวงศ์เม็งราย พม่าก็แผ่อิทธิพลเข้ามาแทนที่ในสมัยพระเจ้าบุเรงนอง
เมืองนครลำปางเป็นหัวเมืองสำคัญของลานนาไทยมาจนกระทั่งถึงสมัยพระเจ้าบุเรงนอง กษัตริย์พม่าแห่งหงสาวดีได้แผ่อำนาจเข้าครอบครองลานนาไทยใน พ.ศ. 2101 ซึ่งสัญลักษณ์แห่งอำนาจของบุเรงนองยังปรากฏอยู่ทั่วไป ได้แก่ไม้แกะสลักรูปหงส์ประจำวัดต่าง ๆ (หมายถึงหงสาวดี) นับตั้งแต่นั้นมา นครลำปางตกอยู่ภายใต้อำนาจของพม่าเป็นเวลานานร่วม ๆ 200 ปีเศษ (พ.ศ.2101 – 2317) และบางครั้งก็อยู่ภายใต้การปกครองของกรุงศรีอยุธยาบ้างเช่น สมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราชและสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เป็นต้น
“ถ่านหินลือชา รถม้าลือลั่น เครื่องปั่นลือนาม
งามพระธาตุลือไกล ฝึกช้างใช้ลือโลก”
รหัสโทรศัพท์ 054
รหัสไปรษณีย์ 52000
พื้นที่ 12,533,961 ตารางกิโลเมตร ห่างจาก กทม. 599 กิโลเมตร
ประชากร 777,277 คน ชาย 384,324 คน หญิง 392,953 คน
เขตการปกครอง 13 อำเภอ 100 ตำบล 895 หมู่บ้าน
เทศบาล 17 แห่ง อบต. 86 แห่ง
อาชีพหลัก / รอง ทำนา ทำไร่ ทำสวนผักและผลไม้ เลี้ยงสัตว์ ทำเหมืองไร่ลิกไนต์
https://web.archive.org/web/20190127075614/http://www.lampang.go.th/lamp.html
ดาวรุ่งลูกทุ่ง
มหาวิทยาลัยเนชั่น ลำปาง
จัดกิจกรรม การแข่งขันเต้น และเสียงดีมีทุน
ดาวรุ่งลูกทุ่งเนชั่น ณ ห้าแยกหอนาฬิกา ข่วงนคร
และพบกับศิลปินรับเชิญ “ญาญ่า หญิง”
ในวันที่ 4 เมษายน 2555
เวลา 18.00น. – 24.00น.
เปิดรับสมัครถึงวันที่ 25 มีนาคม 2555
ติดต่อสอบถาม
มหาวิทยาลัยเนชัน 054-265170, 054-820099
—
งานนี้ผมก็ไม่พลาด
เพราะคุณญาญ่าเป็นศิลปินในดวงใจของผม
จะงานเพลง หรืองานแสดงล้วนสุดยอด
เป็นศิลปินที่ขาวใส สวมเสื้อดำ และมีสไตล์ของตนเอง
แล้วพบกับเธอในดวงใจของผม ด้วยกันครับ
สาเหตุของการเกิดไฟป่ามี 2 สาเหตุ
ไฟป่าเกิดจาก 2 สาเหตุ คือ สาเหตุจากธรรมชาติ และสาเหตุจากมนุษย์
1. สาเหตุจากธรรมชาติ
ไฟป่าที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ เช่น ฟ้าผ่า กิ่งไม้เสียดสีกัน ภูเขาไฟระเบิด ก้อนหินกระทบกัน แสงแดดตกกระทบผลึกหิน แสงแดดส่องผ่านหยดน้ำ ปฏิกริยาเคมีในดินป่าพรุ การลุกไหม้ในตัวเองของสิ่งมีชีวิต (Spontaneous Combustion) โดยทั่วไปมี 2 สาเหตุ ดังนี้
1.1 ฟ้าผ่า เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดไฟป่าในเขตอบอุ่น ในประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศแคนาดา พบว่ากว่าครึ่งหนึ่งของไฟป่าที่เกิดขึ้นมีสาเหตุมาจากฟ้าผ่า ทั้งนี้โดยที่ฟ้าผ่าแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ
(1) ฟ้าผ่าแห้ง (Dry or Red Lightning) คือ ฟ้าผ่าที่เกิดขึ้นในขณะที่ไม่มีฝนตก มักเกิดในช่วงฤดูแล้ง สายฟ้าจะเป็นสีแดง เกิดจากเมฆที่เรียกว่าเมฆฟ้าผ่า ซึ่งเมฆดังกล่าวจะมีแนวการเคลื่อนตัวที่แน่นอนเป็นประจำทุกปี ฟ้าผ่าแห้งเป็นสาเหตุสำคัญของไฟป่าในเขตอบอุ่น
(2) ฟ้าผ่าเปียก (Wet or Blue Lightning) คือ ฟ้าผ่าที่เกิดควบคู่ไปกับการเกิดพายุฝนฟ้าคะนอง (Thunderstorm) ดังนั้นประกายไฟที่เกิดจากฟ้าผ่า จึงมักไม่ทำให้เกิดไฟไหม้ หรืออาจเกิดได้บ้างแต่ไม่ลุกลามไปไกล เนื่องจากความชื้นสัมพัทธ์และความชื้นของเชื้อเพลิงสูง ฟ้าผ่าในเขตร้อนรวมถึงประเทศไทยมักจะเป็นฟ้าผ่าเปียก จึงแทบจะไม่เป็นสาเหตุของไฟป่าในเขตร้อนนี้เลย
1.2 กิ่งไม้เสียดสีกัน อาจเกิดขึ้นได้ในพื้นที่ป่าที่มีไม้ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่นและมีสภาพอากาศแห้งจัด เช่น ในป่าไผ่หรือป่าสน
2. สาเหตุจากมนุษย์
ไฟป่าที่เกิดในประเทศกำลังพัฒนาในเขตร้อนส่วนใหญ่ มีสาเหตุมาจากกิจกรรมของมนุษย์ สำหรับประเทศไทยจากการเก็บสถิติไฟป่าตั้งแต่ปี พ.ศ. 2528-2542 ซึ่งมีสถิติไฟป่าทั้งสิ้น 73,630 ครั้ง พบว่าเกิดจากสาเหตุตามธรรมชาติ คือ ฟ้าผ่าเพียง 4 ครั้ง ได้แก่ 1) ที่ภูกระดึง จังหวัดเลย 2) ที่ห้วยน้ำดัง จังหวัดเชียงใหม่ 3) ที่ท่าแซะ จังหวัดชุมพร และ 4) ที่เขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา แห่งละหนึ่งครั้ง ดังนั้นจึงถือได้ว่าไฟป่าในประเทศไทยทั้งหมดเกิดจากการกระทำของคน โดยมีสาเหตุต่างกันไป ได้แก่
2.1 เก็บหาของป่า เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดไฟป่ามากที่สุด การเก็บหาของป่าส่วนใหญ่ได้แก่ ไข่มดแดง เห็ด ใบตองตึง ไม้ไผ่ น้ำผึ้ง ผักหวาน และไม้ฟืน การจุดไฟส่วนใหญ่เพื่อให้พื้นป่าโล่ง เดินสะดวก หรือให้แสงสว่างในระหว่างการเดินทางผ่านป่าในเวลากลางคืน หรือจุดเพื่อกระตุ้นการงอกของเห็ด หรือกระตุ้นการแตกใบใหม่ของผักหวานและใบตองตึง หรือจุดเพื่อไล่ตัวมดแดงออกจากรัง รมควันไล่ผึ้ง หรือไล่แมลงต่างๆ ในขณะที่อยู่ในป่า
2.2 เผาไร่ เป็นสาเหตุที่สำคัญรองลงมา การเผาไร่ก็เพื่อกำจัดวัชพืชหรือเศษซากพืชที่เหลืออยู่ภายหลังการเก็บเกี่ยว ทั้งนี้เพื่อเตรียมพื้นที่เพาะปลูกในรอบต่อไป ทั้งนี้โดยปราศจากการทำแนวกันไฟและปราศจากการควบคุม ไฟจึงลามเข้าป่าที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง
2.3 เลี้ยงปศุสัตว์ ประชาชนที่เลี้ยงปศุสัตว์แบบปล่อยให้หากินเองตามธรรมชาติ มักลักลอบจุดไฟเผาป่าให้โล่งมีสภาพเป็นทุ่งหญ้า เพื่อเป็นแหล่งอาหารสัตว์
2.4 ล่าสัตว์ โดยใช้วิธีไล่เหล่า คือจุดไฟไล่ให้สัตว์หนีออกจากที่ซ่อน หรือจุดไฟเพื่อให้แมลงบินหนีไฟ นกชนิดต่าง ๆ จะบินมากินแมลง แล้วดักยิงนกอีกทอดหนึ่ง หรือจุดไฟเผาทุ่งหญ้า เพื่อให้หญ้าขึ้นใหม่ ล่อให้สัตว์ เช่น กระทิง กวาง กระต่าย มากินหญ้า แล้วดักรอยิงสัตว์นั้น ๆ
2.5 แกล้งจุด ในกรณีที่ประชาชนในพื้นที่มีปัญหาความขัดแย้งกับหน่วยงานของรัฐในพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาเรื่องที่ทำกินหรือถูกจับกุมจากการกระทำผิดในเรื่อง ป่าไม้ ก็มักจะหาทางแก้แค้นเจ้าหน้าที่ด้วยการเผาป่า
2.6 ความคึกคะนอง บางครั้งการจุดไฟเผาป่าเกิดจากความคึกคะนองของผู้จุด โดยไม่มีวัตถุประสงค์ใด ๆ แต่จุดเล่นเพื่อความสนุกสนาน เท่านั้น
2.7 ความประมาท เกิดจากการเข้าไปพักแรมในป่า ก่อกองไฟแล้วลืมดับ หรือทิ้งก้นบุหรี่ลงบนพื้นป่า เป็นต้น
http://www.dnp.go.th/forestfire/FIRESCIENCE/lesson%201/lesson1_6.htm
ลำปาง ควันอันดับหนึ่งอีกแล้ว
จัดอันดับจังหวัดที่มีหมอกควันไฟสูงในประเทศไทย ประจำวันที่ 26 ก.พ.55
อันดับหนึ่ง อ.แม่เมาะ จ.ลำปาง วัดได้ 279 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
อันดับสอง สนามกีฬากลาง จ.ลำพูน วัดได้ 274.50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
อันดับสาม จ.แพร่ วัดได้ 232.33 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
อันดับสี่ กว๊านพะเยา จ.พะเยา วัดได้ 229.92 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
—
เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2555 กรมควบคุมมลพิษ รายงานสภาพอากาศมายังจังหวัดลำปาง โดยได้ส่งให้สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมจังหวัดลำปาง ซึ่งทางกรมควบคุมมลพิษ ได้กำชับให้ทางจังหวัดลำปาง เร่งหาแนวทางป้องกัน และลดสถานการณ์หมอกควันไฟให้เร็วที่สุด เนื่องจากค่าได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยขณะนี้ถือว่า ค่าฝุ่นละอองขนาดเล็กในหมอกควันไฟได้พุ่งสูงขึ้นจนอยู่ในระดับวิกฤต และเป็นอันตรายต่อประชาชนในพื้นที่อย่างมาก โดยค่าเฉลี่ยในวันนี้ของ จ.ลำปาง ถือว่าเป็นค่าที่พุ่งสูงสุดในประเทศไทย และเป็นค่าที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน วัดได้ที่ ต.บ้านดง อ.แม่เมาะ จ.ลำปาง
ทั้งนี้ สถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศแบบอัติโนมัติของกรมควบคุมมลพิษ ที่ตั้งอยู่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบลบ้านท่าสี ต.บ้านดง อ.แม่เมาะ วัดได้ 279 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ถือว่าเป็นค่าสูงสุดในประเทศไทยในวันนี้ ส่วนสถานีที่ตั้งอยู่บริเวณการประปาแม่เมาะ อ.แม่เมาะ จ.ลำปาง วัดได้ 270.71 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร สถานีที่ตั้งอยู่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบลสบป้าด อ.แม่เมาะ วัดได้ 222.36 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ถือว่าทุกสถานีตรวจวัด มีค่าเกินมาตรฐานทุกแห่ง ส่วนสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศแบบอัติโนมัติของกรมควบคุมมลพิษ ที่ตั้งอยู่ข้างศาลหลักเมืองลำปาง อ.เมือง เทศบาลนครลำปาง เครื่องเกิดขัดข้อง ไม่สามารถรายงานค่าได้
อย่างไรก็ตาม จ.ลำปาง ถือว่า สถานการณ์น่าเป็นห่วง และเข้าสู่ในระดับที่ทางกรมควบคุมมลพิษ ต้องจับตามองสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพราะสถานการณ์ได้เข้าสู่ระดับที่รุนแรงเพิ่มขึ้น จนเกือบถึง 300 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร สำหรับจังหวัดทางภาคเหนือ ที่ค่าพุ่งสูงกว่า 200 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ที่ต้องติดตามสถานการณ์เช่นกัน คือ จ.ลำพูน สถานีตรวจวัดที่ตั้งอยู่สนามกีฬากลาง จ.ลำพูน วัดได้ 274.50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร จ.แพร่ สถานีตรวจวัดตั้งอยู่สถานีอุตุนิยมวิทยา จ.แพร่ วัดได้ 232.33 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และ จ.พะเยา สถานีตั้งอยู่ที่อุทยานการเรียนรู้กว๊านพะเยา จ.พะเยา วัดได้ 229.92 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1330238419&grpid=02&catid=02
สะพานรัษฎาภิเศก 360 องศา
27 ก.พ.55 สะพานรัษฎาภิเศก หรือ สะพานขาว เป็นสะพานข้ามแม่น้ำวัง ตั้งอยู่ที่ ถนนรัษฎา ต.หัวเวียง อ.เมืองลำปาง จ.ลำปาง เดิมเป็นสะพานโครงสร้างไม้ ที่ทางเจ้าผู้ครองนครลำปาง และชาวจังหวัดลำปางได้จัดสร้างขึ้น เพื่อเฉลิมพระเกียรติในวาระที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 5 ในโอกาสที่พระองค์ครองราชย์ครบ 25 ปี ในปี พ.ศ. 2437
ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ได้ทาสีพรางตาและด้วยการอ้างว่าสะพานแห่งนี้ไม่มีประโยชน์ทางยุทธศาสตร์ จึงรอดจากโจมตีทิ้งระเบิดมาได้ หลังจากนั้นได้มีการก่อสร้างใหม่เมื่อเดือนมีนาคม 2460 เป็นสะพานคอนกรีตเสริมเหล็ก บริเวณสะพานมีเครื่องหมายไก่ขาว และครุฑหลวงประดับไว้ตรงหัวสะพาน
สะพานรัษฎาภิเศกภิเษกยังทำหน้าที่สัญลักษณ์ของเมืองลำปาง ในฐานะของ “ขัวสี่โก๊ง(สะพานสี่โค้ง)” “ขัวหลวง (สะพานใหญ่)” “ขัวขาว (สะพานขาว)”