บทบาทด้านสาธารณสงเคราะห์ ของ วัดมิ่งเมืองมูล จังหวัดลำปาง

บทบาทด้านสาธารณสงเคราะห์

บทบาทด้านสาธารณสงเคราะห์

สังคมไทยเป็นสังคมที่ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน วัดเป็นศูนย์กลางของชุมชนมาแต่โบราณกาล วัดกลายเป็นสถานที่จัดกิจกรรมของชุมชน มีบทบาทได้เป็นสาธารณสงเคราะห์ที่ให้ทั้งสถานที่ อุปกรณ์ และบุคลากร นอกจากนี้ที่วัดได้จัดกิจกรรมส่งเคราะห์ตามเทศกาลต่อชุมชนในหลายรูปแบบ เช่น ในช่วงฤดูหนาวก็จะมีกิจกรรมที่ทางวัดออกพบชุมชน ด้วยการจัดหาเครื่องนุ่งห่ม เครื่องกันหนาวไปมอบให้ผู้สูงอายุในชุมชนถือเป็นน้ำใจที่วัดมีให้กับคนในชุมชน ตอบแทนที่ชุมชนมีอุปการะคุณต่อทางวัดมาโดยตลอด

ในช่วงเช้าหลังทำวัตรสวดมนต์ ทำความสะอาดบริเวณวัดให้ดูดีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พระเณรก็จะแยกย้ายออกรับบิณฑบาตในชุมชน มีผู้สูงอายุรอใส่บาตร พระเณรรู้สึกกตัญญูกตเวทีก็จะนำขนม ดอกไม้ธูปเทียนไปรดน้ำดำหัวผู้สูงอายุในชุมชนช่วงวันผู้สูงอายุวันครอบครัวช่วงเทศกาลสงกรานต์ หรือมีผู้สูงอายุในชุมชนเจ็บไข้ได้ป่วย หรือป่วยติดเตียงก็เป็นโครงการพระเยี่ยมไข้ พระก็จำนำขนมนมเนยที่ได้รับบิณฑบาตไปมอบ มีด้ายผูกข้อแขนเป็นสิริมงคล และให้ศีลให้พร ผู้สูงอายุที่ได้รับก็จะมีกำลังใจฮึกเหิมต่อสู้กับการเจ็บป่วยได้ ถือเป็นยาวิเศษที่ช่วยรักษาใจได้เป็นอย่างดี เสริมยารักษากายที่รับจากโรงพยาบาล ดังคำว่า หมอเป็นหมอรักษากาย พระเป็นหมอรักษาใจ

หากมีญาติโยมถึงแก่กรรม และจัดพิธีทำบุญให้กับผู้ล่วงลับก็จะนิมนต์พระไปสวดทุกคืน ในคืนสุดท้ายของการสวดอภิธรรม วัดมิ่งเมืองมูลจะขอเป็นเจ้าภาพหากนิมนต์พระจากที่อื่น ถ้านิมนต์พระที่วัดไป ปัจจัยที่ถวายให้พระก็จะมอบร่วมทำบุญกับเจ้าภาพทั้งหมด ถือเป็นโอกาสที่ได้ตอบแทนบุญคุณที่ชุมชนมีต่อพระเณร และทางวัดด้วยดีเสมอมา

โดยเจ้าอาวาส : พระมหาภาณุวัฒน์ ปฏิภาณเมธี

http://www.wat3m.com

บทบาทด้านการส่งเสริมการศึกษา ของ วัดมิ่งเมืองมูล จังหวัดลำปาง

บทบาทด้านการส่งเสริมการศึกษา

บทบาทด้านการส่งเสริมการศึกษา

ในปัจจุบันวัดกับการศึกษามีความใกล้ชิดจนแยกกันไม่ออก คนในชนบทมองว่าวัดมีบทบาทสนับสนุนการศึกษา หลายครอบครับที่ทุนทรัพย์น้อย จึงมีค่านิยมส่งลูกหลานไปบวชที่วัดที่มีความพร้อม มักเรียกว่าบวชเรียน วัดหลายแห่งจึงมีบทบาทด้านการศึกษาสงเคราะห์เป็นอีกพันธกิจหนึ่ง ที่วัดมิ่งเมืองมูลมีนโยบายส่งเสริมการศึกษาสำหรับพระและเณรในบวรพระพุทธศาสนาที่เข้าจำพรรษาในวัด ถ้าอายุถึงเกณฑ์ต้องเรียน เมื่อเข้ามาบวชแล้วก็ต้องเข้าสู่ระบบการศึกษา ในทุกปีการศึกษาทางวัดก็จะสนับสนุนค่าเดินทาง หรือค่าใช้จ่ายตามความจำเป็นของแต่ละราย สำหรับชุดนักเรียนก็มีค่าใช้จ่ายไม่มาก เพราะมีจีวรอย่างเดียวก็ใส่ได้ในทุกสถานการณ์ สำหรับการเดินทางจากวัดเข้าตัวเมืองมีระยะทาง 12 กิโลเมตร เจ้าอาวาสก็ได้จัดสรรเงินที่ได้รับจากศรัทธา หรือจากการตั้งตู้รับบริจาค ที่ได้ทั้งจากญาติโยมในชุมชน ครูอาจารย์ หรือนักศึกษาที่อยู่ใกล้วัดมาทำบุญวันเกิด อุทิศส่วนกุศลอยู่เป็นประจำ เมื่อมาทำบุญแล้วไม่พบเจ้าอาวาสก็จะเป็นกิจของพระเณรภายในวัดที่ต้องให้พรญาติโยม ปัจจัยที่ได้ก็จะนำใส่ตู้ไว้ เมื่อถึงเวลาก็จะเปิดตู้ และแบ่งเฉลี่ยเป็นค่าใช้จ่ายในการศึกษาของทุกคน นอกจากนี้หากพระเณรสอบผ่านนักธรรมชั้นตรี โท เอกแล้วก็จะจัดสรรทุนการศึกษาให้เพื่อเป็นขวัญกำลังใจ

บทบาทต่อการศึกษาภายนอกนั้น เมื่อสถานศึกษาทั้งระดับโรงเรียน หรือมหาวิทยาลัยที่มีพระเณรไปเรียนอยู่ได้ขอรับการสนับสนุนกิจกรรม หรือทุนการศึกษา เจ้าอาวาสก็จะสนับสนุนค่าเล่าเรียนให้กับพระเณร และมีนโยบายสนับสนุนการศึกษาอย่างเต็มที่ให้ได้เรียนจนสุดกำลังสติปัญญาของแต่ละคนไปจนถึงระดับปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก หากเรียนบาลีก็สนับสนุนเต็มที่เช่นกัน ซึ่งเจ้าอาวาสก็ทำตัวเป็นแบบอย่าง ขณะนี้กำลังศึกษาในระดับปริญญาเอก ส่วนบาลีก็สอบได้เปรียญธรรม 5 ประโยค ถือคติว่าใช้วิธีทำ นำเป็นตัวอย่าง

โดยเจ้าอาวาส : พระมหาภาณุวัฒน์ ปฏิภาณเมธี

http://www.wat3m.com

 

ชีวประวัติหลวงพ่อ พระธัมมานันทมหาเถระ ธัมมาจริยะ อัครมหาบัณฑิต

 

 

schedule 49175722_10156903002443895_1646549045193211904_n 49132400_10156903002283895_7556580312579309568_n 49098694_10156903002163895_3827212183138205696_n 49122157_10156903001963895_3238583530787176448_o 49690710_10156903001833895_7629203210212737024_n

49239958_10156903002603895_1005401657300746240_n

ชีวประวัติหลวงพ่อ พระธัมมานันทมหาเถระ ธัมมาจริยะ อัครมหาบัณฑิต

ณ หมู่บ้านต่าสี่ อำเภอเหย่สะโจ่ จังหวัดปขุกกู่ ประเทศสหภาพพม่า คุณแม่หง่วยหยี่ ได้ให้กำเนิดบุตรชายคนที่ ๓ ด้วยโสรดิถี มกรนักขัตตฤกษ์ แรม ๑๔ ค่ำ เดือนอ้าย ปีระกา ตรงกับวันเสาร์ที่ ๘ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๖๓ (จุลศักราช ๑๒๘๒ คริสตศักราช ๑๙๒๑) คุณแม่หง่วยหยี่กับคุณพ่อโภเตด ได้ตั้งมงคลนามให้บุตรชายผู้เป็นดุจดวงตาดวงใจว่า “เด็กชายตันหม่อง” และได้ให้กำเนิดบุตรชายทั้งสิ้นรวม ๔ คน

ตระกูลนี้มีความศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า เมื่อเห็นว่าหมู่บ้านต่าสี่ยังไม่มีวัดเลย จึงได้ร่วมกันสร้างวัดต่าสี่ให้เป็นวัดประจำหมู่บ้าน และได้สร้างเจดีย์ทองประดิษฐานไว้ในวัดนั้นด้วย ซึ่งเป็นบรรยากาศที่น้อมอัธยาศรัยของลูกหลานทุกคนให้ได้เข้าสู่ร่มผ้ากาสาวพัตร์ เมื่อเด็กชายตันหม่องอายุได้ ๗ ขวบ มารดาบิดาได้นำท่านไปฝากไว้ให้เป็นลูกศิษย์วัด กับท่านอาจารย์อูญาณะ เจ้าอาวาสวัดโตงทัตในหมู่บ้านต่าสี่ ในวันที่ ๒๐ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๗๐

นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นในเส้นทางพระพุทธศาสนาของเด็กชายตันหม่อง เธอจึงได้เรียนหนังสือตั้งแต่ชั้นอนุบาลและชั้นประถม แม้จะเป็นเด็กวัดตัวน้อยๆ ท่านก็มีความทรงจำที่เป็นเลิศกว่าผู้อื่น สามารถทรงจำบทสวดมนต์ต่างๆได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ทรงจำพระปริตร์ ได้ทั้ง ๑๑ สูตร ทรงจำคัมภีร์นมักการะ คัมภีร์โลกนีติ ชยมังคลคาถา ชินบัญชร นาสนกรรม ทัณฑกรรม เสขิยวัตร และขันธกะ ๑๔ วรรค ทั้งภาคบาลีและคำแปล แม้กระทั่งโหราศาสตร์ที่นับตัวเลขด้วยคำภาษาบาลีที่เรียนยาก ท่านก็ได้เรียนจนเข้าใจและจำได้ไม่หลงลืม

เมื่อถึงปีพุทธศักราช ๒๔๗๗ ท่านมีอายุ ๑๔ ปี ได้รับการบรรพชาเป็นสามเณร มีฉายาภาษาบาลีว่า “สามเณรธัมมานันทะ” โดยมีท่านอาจารย์อูจารินทะ เป็นพระอุปัชฌาย์ หลังจากบรรพชาเป็นสามเณรแล้ว พระอุปัชฌาย์ให้ท่านท่องจำกัจจายนสูตรและคำแปล ตามคัมภีรย์กัจจายนสุตตัตถะ ทั้งได้สอนคัมภีร์กัจจายนสังเขปให้ท่านด้วย

ต่อมา ได้ย้ายไปอยู่วัดปัตตปิณฑิการาม ในตัวอำเภอเหย่สะโจ่ โดยมีอาจารย์อูอุตตระเป็นเจ้าอาวาสและอาจารย์สอน ได้เรียนคัมภีร์เพิ่มเติมอีกหลายคัมภีร์ คือ คัมภีร์พาลาวตาระ กัจจายนะ สัททนีติสุตตมาลา อภิธัมมัตถสังคหะ เทฺวมาติกา ขุททสิกขา กังขาวิตรณี และพระวินัยปิฏก

เมื่ออายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ในวันที่ ๑๓ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๘๓ โดยมีท่านอาจารย์อูสุชาตะ ผู้เป็นศิษย์ท่านอาจารย์อูอุตตระ เป็นพระอุปัชฌาย์ ณ พัทธสีมาวัดหญ่องเป่งต่า จังหวัดมอละไมฺยจุน มีนายพละกับนางเส่งมยะ ผู้อยู่บ้านเลขที่ ๒๐ ถนนสายที่สี่ ในจังหวัดมอละไมฺยจุน เป็นโยมอุปัฎฐากถวายเครื่องอัฎฐบริขาร นับว่าท่านได้ทำเพศแห่งสมณะให้มีความมั่นคงถาวรในพระพุทธศาสนา อันเข้าใกล้มรรคผลและนิพพานแล้ว

หลังจากอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ท่านอาจารย์อูอุตตระ ได้ส่งท่านไปศึกษาพระปริยัตติธรรมต่อ ในสำนักของท่านอาจารย์อูโกสัลลาภิวังสะ วัดมหาวิสุทธาราม จังหวัดมันดเล จึงได้ศึกษาคัมภีร์ไวยากรณ์ภาษาบาลี คือคัมภีร์ปทรูปสิทธิและคัมภีร์ปทวิจยะ

ในช่วงนั้นเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ จังหวัดมันดเลเป็นเป้าหมายในการโจมตีทางยุทธศาสตร์ เพราะเป็นเมืองหลวงอันดับสอง รองจากกรุงย่างกุ้ง จึงถูกโจมตีอย่างหนัก เป็นเหตุให้ท่านอาจารย์อูธัมมานันทะ ย้ายจากจังหวัดมันดเลไปอยู่จังหวัดมะไลย ได้ศึกษาคัมภีร์อภิธานัปปทีปิกา ฉันโทปกรณ์ สุโพธาลังการะ เภทจินตา และกัจจายนสาระ ในสำนักของท่านอาจารย์อูจันทโชติ เจ้าอาวาสวัดสิริโสมาราม หมู่บ้านกันจี จังหวัดมะไลย และยังได้ศึกษาคัมภีร์กัจจายนสุตตตัตถะ พร้อมทั้งวิธีการสร้างรูปคำศัพท์ ตามนัยของคัมภีร์กัจจายนะ นามปทมาลา และอาขยาตปทมาลา ได้ศึกษาคัมภีร์พระอภิธรรม คือ คัมภีร์ปรมัตถสรูปเภทนี มาติกา และธาตุกถา รวมทั้งคัมภีร์ปาราชิกกัณฑอรรถกถา (สมันตปาสาทิกา) ท่านพำนักอยู่ที่วัดสิริโสมารามรวม ๕ ปี จนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่ ๒ สงบลง

ประกอบกับสมัยนั้น แถบจังหวัดปขุกกู่ และอำเภอเหย่สะโจ่ ไม่นิยมสอบสนามหลวง เพียงแต่ศึกษาเล่าเรียนให้แตกฉานเท่านั้น ท่านจึงไม่สนใจเข้าสอบ ตั้งแต่เป็นสามเณรเรื่อยมาจนได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ และเมื่อสงครามโลกสิ้นสุดลง จึงได้เริ่มสอบสนามหลวง และสอบไล่ได้ชั้น “ปะถะมะแหง่” แล้วย้ายจากวัดสิริโสมาราม ไปอยู่วัดมหาวิสุทธาราม จังหวัดมันดเล อันเป็นที่พำนักอยู่เดิม ในที่นั้น ท่านได้เรียนคัมภีร์ต่างๆ จากอาจารย์อูโกสัลลาภิวังสะ อูชาเนยยพุทธิ อูสุวัณณโชติภิวังสะ และอูอานันทปัณฑิตาภิวังสะ จนสอบได้ชั้น “ปะถะมะลัด”

หลังจากนั้น ท่านได้ย้ายไปอยู่วัดเหว่หยั่นโผ่งต่า ได้เดินทางไปศึกษาคัมภีร์ปัฎฐานที่วัดปัฎฐานาราม ภูเขาสะกาย จังหวัดสะกาย เป็นพิเศษด้วย โดยมีท่านอาจารย์อูอินทกะ (อัครมหาบัณฑิต) เป็นผู้สอน จึงทำให้สอบไล่ชั้น “ปะถะมะจี” ได้เป็นอันดับ ๓ ของประเทศ

ในปีถัดมา ท่านได้ศึกษาคัมภีร์ต่างๆในชั้นธัมมาจริยะ จากท่านอาจารย์อูกัลยาณะ ผู้มีชื่อเสียงในการสอนคัมภีร์ชั้นธัมมาจริยะมากที่สุดในเมืองมันดเลในเวลานั้น จึงสอบไล่ชั้น “ธัมมาจริยะ” ได้ทั้ง ๓ คัมภีร์ คือ ปาราชิกบาลีและอรรถกถา สีลักขันธวรรคบาลีและอรรถกา ธัมมสังคณีบาลีและอัฎฐสาลินีอรรถกถา จึงได้รับตราตั้งว่า “สาสนธชธัมมาจริยะ” และยังสอบได้คัมภีร์พิเศษในชั้นธัมมาจริยะอีก คือ คัมภีร์มหาวัคคาทิอรรถกถา สังยุตตนิกายอรรถกถา และวิภังคาทิอรรถกถา จึงได้รับตราตั้งชั้นพิเศษว่า “สาสนธชสิริปวรธัมมาจริยะ” ซึ่งเป็นเรื่องยากมากที่ใครๆจะทำตามท่านได้ เมื่อย้อนดูประวัติการสอบตั้งแต่ชั้นแรกถึงชั้นธัมมาจริยะ ของท่านอูธัมมานันทะแล้ว จึงได้รู้ว่าท่านสอบได้ทุกชั้นมาโดยตลอด ไม่เคยสอบตกเลย จึงได้รับความยกย่องจากอาจารย์และเพื่อนนักเรียนด้วยกัน ให้เป็นครูสอนพระปริยัติธรรมในวัด ๓ แห่ง คือ วัดสิริโสมาราม จังหวัดมะไลย วัดปัตตปิณฑิการาม อำเภอเหย่สะโจ่ และวัดเหว่หยั่นโผ่งต่า จังหวัดมันดเล มาตั้งแต่ก่อนจะเรียนจบชั้น “ปะถะมะจี” เสียอีก

เมื่อท่านเจริญอายุได้ ๓๗ ปี ช่วงเดือนสิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๐๐ กรมการศาสนาของประเทศสหภาพพม่าได้นิมนต์ท่านให้เป็นพระธรรมฑูต เพื่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทในต่างประเทศ ท่านจึงย้ายไปอยู่ในสังฆมณฑลกะบ่าเอ กรุงย่างกุ้ง ซึ่งเป็นทั้งกรมการศาสนา และมหาวิทยาลัยสงฆ์เพื่อการเผยแผ่ (ธัมมฑูตวิชชาลยะ) ได้ศึกษาภาษาอังกฤษและภาษาญี่ปุ่น เพื่อเตรียมตัวให้พร้อม ก่อนเดินทางไปเผยแผ่พระพุทธศาสนายังประเทศญี่ปุ่น ในปีเดียวกันนั้น ท่านเจ้าคุณพระธรรมคุณาภรณ์ (เช้า ฐิตปญฺโญ ป.ธ.๙) เจ้าอาวาสวัดโพธาราม จังหวัดนครสวรรค์ ประเทศไทย ได้ส่งหนังสือไปถึงกรมการศาสนาแห่งประเทศสหภาพพม่า ขอพระอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญในพระปริยัตติธรรม มาเป็นอาจารย์สอนที่วัดโพธาราม กรมการศาสนาแห่งประเทศสหภาพพม่าพิจารณาดูความเหมาะสมแล้ว เห็นว่าควรจะส่งท่านอูธัมมานันทะมาเป็นอาจารย์สอนพระปริยัติที่ประเทศไทย จึงได้กราบเรียนโดยรับรองกับท่านว่า เมื่อท่านสอนพระปริยัติธรรมในประเทศไทยได้หนึ่งพรรษาแล้ว จะส่งต่อไปยังประเทศญี่ปุ่น ท่านจึงได้เดินทางมายังวัดโพธาราม จังหวัดนครสวรรค์ ตามที่กรมการศาสนานิมนต์ ในวันที่ ๓๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๐๒

เมื่อมาอยู่ที่วัดโพธาราม ท่านอาจารย์อูธัมมานันทะได้ทำการสอนพระปริยัติติธรรมแก่พระภิกษุและสามเณรจำนวน ๒๐๐ รูป เมื่อออกพรรษาแล้วท่านก็ยังไม่ได้เดินทางไปประเทศญี่ปุ่นตามความมุ่งหมายเดิม เพราะท่านเจ้าคุณพระธรรมคุณาภรณ์ นิมนต์ให้อยู่สอนพระปริยัติธรรมต่อ ท่านจึงได้พำนักอยู่ที่จังหวัดนครสวรรค์ เป็นเวลาถึง ๖ ปี

ในปีพุทธศักราช ๒๕๐๗ ระหว่างที่ท่านพำนักอยู่ที่จังหวัดนครสวรรค์นั้น กรมการศาสนาประเทศสหภาพพม่าได้นิมนต์ท่านให้เดินทางกลับ เพื่อร่วมจัดทำคัมภีร์พจนานุกรมพระไตรปิฏก ฉบับบาลี-พม่า เล่มที่ ๑ และตรวจชำระคัมภีร์ต่างๆ มีสุโพธาลังการฎีกาเป็นต้น ในสมัยปัจฉิมฏีกาสังคายนา ที่มหาปาสาณคูหา กะบ่าเอ กรุงย่างกุ้ง ท่านจึงได้เดินทางกลับประเทศของท่านเป็นการชั่วคราว เพื่อร่วมจัดทำคัมภีร์ดังกล่าว เป็นเวลา ๑ ปี หลังจากการทำสังคายนาพระบาลี อรรถกถา และฎีกา รวมทั้งคัมภีร์ต่างๆ ได้สิ้นสุดลง ท่านก็ได้เดินทางกลับมาพำนักอยู่ที่วัดโพธาราม จังหวัดนครสวรรค์ตามเดิม

ในปีพุทธศักราช ๒๕๐๘ ท่านอาจารย์อูเนมินทะ (อัครมหาบัณฑิต) เจ้าอาวาสวัดท่ามะโอ รูปที่ ๓ ชราภาพมากแล้ว จึงได้ทำหนังสือไปถึงกรมการศาสนาประเทศสหภาพพม่า บอกความประสงค์ว่า จะนิมนต์ท่านอาจารย์อูธัมมานันทะให้มาเผยแผ่พระพุทธศาสนาประจำอยู่ที่วัดท่ามะโอ จังหวัดลำปาง ทางกรมการศาสนาประเทศสหภาพพม่า ก็ได้ทำหนังสือแจ้งให้ท่านทราบ ท่านจึงได้ย้ายจากจังหวัดนครสวรรค์มาอยู่ที่วัดท่ามะโอ จังหวัดลำปาง เมื่อวันขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๘ ปีมะเส็ง ตรงกับวันที่ ๖ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๐๘ ท่านย้ายมาอยู่ที่วัดท่ามะโอเพียง ๕ เดือนเท่านั้น ท่านอาจารย์อูเนมินทะ เจ้าอาวาสวัดท่ามะโอ ก็มรณภาพลงด้วยโรคชรา ท่านอาจารย์อูธัมมานันทะจึงได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดท่ามะโอสืบมาจนถึงปัจจุบัน

เพราะท่านเป็นผู้เรียนเก่ง สอนก็เก่ง มีความรักในการเรียนการสอนมากเป็นพิเศษ จึงไม่อยู่นิ่งเฉย ท่านเริ่มจัดการเรียนการสอนด้านพระปริยัติธรรม อันเป็นหลักสำคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา โดยการตั้งโรงเรียนพระปริยัติธรรมขึ้น ในวันพฤหัสบดี แรม ๒ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะแม ตรงกับวันที่ ๒๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๑๐ จนเป็นโรงเรียนพระปริยัติธรรมที่มีชื่อเสียงขึ้นตามลำดับ กิตติศัพท์ของท่านและสำนักเรียนดังกระฉ่อนไปทั่วทุกภาคของประเทศไทย มีพระภิกษุและสามเณรผู้ใฝ่ใจศึกษา เดินทางมาจากทั่วทุกมุมของประเทศ เพื่อสมัครเป็นศิษย์ผู้สืบสานการเรียนการสอนที่เข้าถึงแก่นแท้ของพระปริยัติศาสนา จะได้มีปรีชาสามารถจรรโลงรักษาพระพุทธศาสนาให้มั่นคงถาวร สมกับเป็นพระศาสนาที่ประเสริฐสูงสุดในโลก เหล่าศิษยานุศิษย์ผู้ได้ศึกษาเล่าเรียนศิลปศาสตร์แขนงเอก จากท่านอาจารย์อูธัมมานันทะ ล้วนเป็นผู้ทรงความรู้ความสามารถที่จะสืบทอดเจตนารมย์ของบูรพาจารย์ จึงได้พากันเอาใจใส่ในการเรียนการสอนอย่างจริงจัง จนสามารถผลิตนักศึกษาให้สอบไล่ได้ทั้งแผนกนักธรรมและแผนกบาลีเป็นจำนวนมาก ทุกปีเสมอมา ทั้งมีความสามารถในการสอนและทรงจำคัมภีร์ต่างๆ ในระดับชั้นพระไตรปิฎกอันเป็นชั้นเรียนสูงสุดอีกด้วย

ท่านอาจารย์อูธัมมานันทะได้พร่ำสอนลูกศิษย์ของท่านอยู่เสมอว่า “การศึกษาพระไตรปิฎกให้แจ่มแจ้งนั้น จำเป็นต้องอาศัยคัมภีร์พื้นฐาน ๔ คัมภีร์ คือ (๑) คัมภีร์บาลีไวยากรณ์ทั้ง ๓ สาย ได้แก่ คัมภีร์สายกัจจายนะ สายโมคคัลลานะ และสายสัททนีติ (๒) คัมภีร์อภิธานัปปทีปิกา (๓) คัมภีร์วุตโตทยฉันโทปกรณ์ และ (๔) คัมภีร์สุโพธาลังการะ ท่านจึงสอนลูกศิษย์ให้ได้ศึกษาคัมภีร์พื้นฐานของพระไตรปิฎกทั้ง ๔ คัมภีร์นั้นให้ช่ำชองก่อน โดยการให้ทรงจำหลักสูตร ทั้งสอนและอธิบายให้เข้าใจในหลักสูตรอย่างแจ่มแจ้ง แล้วหมั่นสาธยายทบทวนไม่ให้ลืมเลือน และจัดพิมพ์คัมภีร์เหล่านั้นไว้เป็นหลักสูตรจนแพร่หลาย เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในหมู่นักปราชญ์สายบาลี ได้รับการยกย่องเรียกขานว่า “บาลีใหญ่”
มีคัมภีร์ที่ได้รับการจัดพิมพ์แล้วรวม ๒๐ คัมภีร์ คือ
๑. กัจจายนะ
๒. ปทรูปสิทธิ
๓. โมคคัลลานพฺยากรณะ
๔. สัททนีติ สุตตมาลา
๕. นฺยาสะ
๖. อภิธานัปปทีปิกา
๗. สุโพธาลังการะ
๘. วุตโตทยฉันโทปกรณ์
๙. สุโพธาลังการะปุราณฎีกา
๑๐. สุโพธาลังการะอภินวฎีกา
๑๑. ขุททสิกขาและมูลสิกขา
๑๒. ธาตฺวัตถสังคหะ
๑๓. สัททัตถเภทจินตา
๑๔. กัจจายนสาระ
๑๕. ณฺวาทิโมคคัลลานะ
๑๖. พาลาวตาระ
๑๗. สังขฺยาปกาสกะ
๑๘. สังขฺยาปกาสกฎีกา
๑๙. ปโยคสิทธิ
๒๐. วุตโตทยฉันโทปกรณ์แปล

ส่วนคัมภีร์ที่ท่านอาจารย์ได้รจนาขึ้นมี ๔ คัมภีร์ คือ
๑. อุปจารนยะและเนตติหารัตถทีปนี
๒. อุปสัมปทกัมมวาจาวินิจฉัย
๓. สังขิตตปาติโมกขุทเทสวินิจฉัย
๔. คัมภีร์นานาวินิจฉัย

๗๔ ปี ของท่าน ที่ได้อยู่ในร่มผ้ากาสาวพัตร์ ช่างเป็นชีวิตที่แสนประเสริฐสูงสุด บัดนี้ ท่านดำรงอยู่ในฐานะผู้มีวัยอันเจริญครบ ๘๘ ปี ผู้มีอัธยาศรัยอันถูกหล่อหลอมกล่อมเกลาให้งดงามด้วยวิชชาคือพระปริยัติศาสนาที่ได้ศึกษามาอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ งดงามด้วยจรณะคือปฏิปทาอันเป็นข้อวัตรปฏิบัติอันคล้อยตามหลักพระสัทธรรมที่ได้ศึกษามาเป็นอย่างดี งดงามด้วยโอวาทานุสาสนีที่ได้ตักเตือนพร่ำสอนมวลหมู่ศิษย์ทั้งในชั้นเรียนและนอกชั้นเรียน ความงดงาม ความน่าเลื่อมใส ข้อวัตรปฏิบัติที่บริบูรณ์ของท่าน ศิษยานุศิษย์ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ต่างชื่นชมโสมนัส เคารพยำเกรง ถือปฏิบัติเอาเป็นแบบอย่าง พากันเรียกขานด้วยความเคารพและอบอุ่นยิ่ง ว่า “หลวงพ่อ ภัททันตะ ธัมมานันทมหาเถระ”

ด้วยผลงานด้านการสอนและการเรียบเรียงรจนาคัมภีร์อีกมายมายหลายคัมภีร์ รัฐบาลประเทศสภาพพม่า ได้รับทราบเกียรติคุณความดีในด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในต่างประเทศของท่าน จึงได้น้อมถวายตำแหน่ง “อัครมหาบัณฑิต” แด่หลวงพ่อ ในปีพุทธศักราช ๒๕๓๔ จึงเป็นที่รู้จักกันในมงคลนามว่า “หลวงพ่อ ภัททันตะ ธัมมานันทมหาเถระ อัครมหาบัณฑิต” แม้มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย อันเป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์ของประเทศไทย ก็ได้ทราบเกียรติคุณของหลวงพ่อ จึงได้น้อมถวายดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ แด่ท่าน

แม้เวลานี้ หลวงพ่อของพวกเรา จะชราภาพมากแล้วก็ตาม ท่านก็ไม่ได้คำนึงถึงความชราภาพของตนเองเลย ยังมีดวงหทัยอันเต็มเปี่ยมด้วยเมตตา มีความอุตสาหะพร่ำสอนศิษยานุศิษย์ให้พยายามศึกษาเล่าเรียนอย่างสม่ำเสมอ มวลศิษยานุศิษย์เล่า ก็พากันถือปฏิบัติตามอย่างเคร่องครัด เพราะมาเล็งเห็นโทษที่ไม่ปฏิบัติตาม และเล็งเห็นประโยชน์อันประเสริฐที่ได้ปฏิบัติตาม จึงได้ช่วยกันขวนขวาย จัดการเรียนการสอนตามแนวที่หลวงพ่อได้สอนตนมา ให้สืบทอดถึงรุ่นลูกหลานต่อไปในอนาคต พากันหวังอยู่ว่า หลวงพ่อจะเบาใจและวางใจได้ว่า พระพุทธศาสนาที่แผ่ซ่านอยู่ในสายเลือดของท่านนั้น ได้รับการสืบทอดแล้วอย่างลงตัว สมกับเจตนารมย์ที่ได้ตั้งอธิษฐานไว้ว่า

“จิรํ ติฏฺฐตุ สทฺธมฺโม ธมฺเม โหนฺตุ สคารวา”

ขอให้พระสัทธรรมจงดำรงอยู่ตลอดกาลนาน

ขอให้ชนทั้งหลายจงมีความเคารพยำเกรงในพระธรรม

เมื่อวันที่ ๑๘-๓๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๐ ที่ผ่านมา หลวงพ่อได้มีโอกาสเดินทางกลับไปเยือนบ้านเกิดเพื่อสงเคราะห์หมู่ญาติ เพื่อเยี่ยมสำนักเรียนที่เคยเรียนเคยสอน และเยี่ยมสำนักที่เคยอยู่อาศัย เพื่อย้อนรอยสู่อดีตอันอบอุ่น สู่ความทรงจำอันยากจะลืมเลือน ที่อยากบอกเล่าให้ลูกศิษย์ทุกคนได้รับฟัง

เมื่อเป็นโอกาสดีอย่างนี้ พวกเราเหล่าศิษย์จึงขอติดตามหลวงพ่อไปด้วย เพื่อบันทึกเรื่องราวต่างๆ มาเล่าสู่กันฟัง อย่างภาคภูมิใจและชื่นชมโสมนัส

ภาพและเสียงที่จะได้รับชมรับฟังต่อไปนี้ คือบันทึกการเดินทางเยือนบ้านเกิดของหลวงพ่อผู้ยิ่งกว่าพ่อของพวกเราทุกคน

“หลวงพ่อ พระภัททันตะ ธัมมานันทมหาเถระ ธัมมาจริยะ อัครมหาบัณฑิต”

จากหนังสือ งานละสังขาร 100 วันหลวงพ่อใหญ่

https://web.facebook.com/notes/ta-tuk-tatuk/

 

repost จาก note ของ FB: ta-tuk-tatuk

ถ่ายภาพกับ street art ลือชื่อของลำปาง

IMG_20181015_114029 IMG_20181015_113923

ถ่ายภาพกับ street art ลือชื่อของลำปาง

Landmark : แลนด์มาร์ก
คือ จุดสังเกต หรือ หลักเขต หรือ สถานที่ที่เป็นจุดสังเกต หรือ สถานที่ที่เป็นสัญลักษณ์ ประจำพื้นที่ หรือเมือง
ไปเยือนแล้ว
ต้องไปถ่ายรูปให้ได้
ไม่งั้นถือว่า ไปไม่ถึง

สตรีทอาร์ตลำปาง
(Street art) ปลายทางฝัน
หากใครได้ไปลำปางแล้ว ไม่ได้ถ่ายภาพด้วย
อาจถือว่าไปไม่ถึง
ภาพเหล่านี้กระจายอยู่ระแวก
กาดกองต้า เป็นโครงการของจังหวัด และมีแนวโน้มจะแพร่หลายต่อไป
เมื่อเห็นภาพเหล่านี้ก็ชื่นชอบ
เพราะชอบสีสัน ชอบแสงสี ชอบศิลปะ มีเพื่อนเป็นศิลปิน และมีแลนด์มาร์คในจังหวัดที่อาศัย

หลังมีข่าว street art ดังมาก
เมื่อ 20 พ.ค.2561 ก็ทำให้มีความฝันว่าจะต้องถ่ายภาพ
กับ street art สักภาพหนึ่ง
และด้วยปัจจัยอำนวย
ทำให้คืนที่ 14 ต.ค.61 พาตนเองไปเดินกาดกองต้าฟากริมแม่น้ำ
พบภาพสวยหลายภาพ
ก็ถือโอกาสถ่ายภาพตนเอง
โดยมีฉากหลังเป็น street art
และแบ่งปันไป 2 ภาพ
สรุปว่าชอบมากครับ
ต่อไปมีคนถามว่าถ่ายมารึยัง
จะได้ตอบว่า ถ่ายมาล่ะ
มีหลักฐานด้วย
ตั้งชื่อภาพว่า
“พ่อไก่แจ้ในเมืองที่ไม่หมุนตามกาลเวลา”

ณ เวลาหนึ่งในซอยแขนงหนึ่งที่กาดกองต้า นครลำปาง

ซองหนึ่ง ที่กาดกองต้า นครลำปาง

ซองหนึ่ง ที่กาดกองต้า นครลำปาง

 

วันนี้ ณ กาดกองต้า
หรือ ถนนคนเดินลือชื่ออันดับหนึ่งของลำปาง
คึกคักไปด้วยหนุ่มสาวเสื้อเหลือง กว่าทุกคืนสุดสัปดาห์ที่เคย ๆ
เพราะวันนี้เป็นวันที่ 13 ตุลาคม 2561
ชาวลำปางร่วมกิจกรรม
“ร้อยริบบิ้นแห่งความรัก .. ล้านดวงใจภักดิ์แห่งแผ่นดิน”
ที่ข่วงนคร ลำปาง
หลังเสร็จกิจ ส่วนหนึ่งก็จะมาเดินที่ถนนคนเดินแห่งนี้
หาของกิน ของใช้ หรือเดินชมตลาดตามอัธยาศัย
ลักษณะของกาดกองต้า
จะมีถนนเส้นหลัก เหมือนก้างหลักของปลา
และมีก้างแขนงแยกออกไป ตามตรอก ซอกซอย
บางซอยเน้นของกิน บางซอยเน้นของใช้
และแต่แม่ค้า พ่อค้าเค้าจะไปหาทำเลของตนเอง
แน่นอนว่า บางซอยคนเดินเยอะ บ้างก็น้อย
คนเดินวันนี้ สวมเสื้อเหลืองมากเป็นพิเศษ
สิ่งที่ผมเห็น คือ
บ้างเดินคนเดียว
บ้างเดินเป็นคู่
คู่ชายบ้าง คู่หญิงบ้าง คู่แม่ลูกบ้าง
บ้างเดินกันเป็นทีม
ทีมเพื่อน ทีมครอบครัว ทีมทำงาน หรือทีมบังเอิญมาเจอกัน
อาหารการกินก็เยอะ เห็นแปลก ๆ ก็มี
ข้าวเกียบว่าว ทองม้วนสด เมี่ยงคำ
ถั่วเน่า กระบองเพชร ต้นไม้แคระ หรือบอนไซ
ประทีปปลอม ปิ้งย่างหม่าล่า ยากิโซบะ
ชุดผ้าฝ้าย ชุดมัดย้อม เสื้อยืดลำปาง บ๊อกเซอร์
และกะโหลกกะลา อีกมากมาย

ถนนคนเดิน ก็มีปัญหาเดิม ๆ
คือ หาที่จอดรถยากมาก
ที่หาได้ก็เดินไกล
ผมมักจอดรถเลยจวนผู้ว่าไปนิดหน่อย
ระยะทางของกาดกองต้า
จากหัวสะพานรัษฎา ถึงข้าวต้นบาทเดียว
ประมาณ 1 กิโลเมตร เดินไปกลับก็ 2 กิโลเมตร
ขยันหน่อย เดินเลาะริมแม่น้ำวังด้วยก็อีกเกือบเท่าตัว

ภาพประกอบที่ถ่ายมานี้
มีสาวชุดเหลืองในภาพ แต่ก็ไม่ทราบว่าเป็นใคร
ถนนเส้นนี้ เป็นแขนงหนึ่ง
เป็นหลิ่งขึ้นไปถึงห้างเสรีสรรพสินค้า
ถนนหน้าห้าง วันนี้มีกลุ่มคนรักสุนัข
มาขอรับบริจาคเงินไปทำหมันให้สุนัขจรจัดในลำปาง
ที่มีมากก็บริเวณวัดม่อนพระยาแช่
มีกิจกรรมร้องเพลงขอรับบริจาค
มีนักเรียนจากโรงเรียนบุญวาทย์ มาร่วมร้องเพลง
ฟังเพลงภูมิแพ้กรุงเทพแล้วชอบมาก
จึงบริจาคไปส่วนหนึ่ง ก็นิดหน่อยครับ เป็นกำลังใจ

เรื่องฟังเพลงไม่ได้หยุดยืนฟังครับ
แต่นั่งทานขนมจีนน้ำเงี้ยวของป้า
ได้เยอะมาก 30 บาท เกือบล้นถ้วย
และส้มตำ 35 บาท
ก็เยอะแบบไม่น่าเชื่อ ทานคนเดียวคงไม่หมด
ร้านลุงป้าเค้าอยู่ติดกัน ก็อยู่บริเวณหน้าห้าง
ตรงข้ามร้านตัดเงาะดีไซน์นั่นหละครับ
สรุปว่า เดินกาดกองต้าครั้งนี้
ได้ทานของอร่อยบนถนน
ได้ฟังเพลงไพเราะจากนักเรียน และคุณลุง
ได้เห็นวิถีชีวิตของชาวลำปางยุคนี้
ที่เอาของซะเป๊ะซะป๊ะ มาวางขาย ตั้งขาย
บนถนนลือชื่ออันดับหนึ่งของลำปาง
เดินเสร็จบอกได้คำเดียวว่า “เหนื่อย แต่เพลิน ลืมระยะทางเลย
หลังกลับที่พัก ก็ขอนอนก่อนล่ะ
มีโอกาสคงไปเดินใหม่ ยังเดินไม่ทั่วเลย

ถนนศิลปะ (Street art) รอบกาดกองต้า และสะพานรัษฎาภิเศก 2561

street art กาดกองต้า 2561

street art กาดกองต้า 2561

ประวัติ
สะพานรัษฎาภิเศก หรือ สะพานขาว
ตั้งอยู่ที่ถนนรัษฎา เป็นสะพานข้ามแม่น้ำวัง
ตั้งอยู่ในเขตตำบลหัวเวียง อำเภอเมืองลำปาง จังหวัดลำปาง
เดิมเป็นสะพานโครงสร้างไม้ ที่ทางเจ้านรนันทไชยชวลิต เจ้าผู้ครองนครลำปาง
และชาวจังหวัดลำปางได้จัดสร้างขึ้น เพื่อเฉลิมพระเกียรติ
ในวาระที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 5
ในโอกาสที่พระองค์ครองราชย์ครบ 25 ปี ในปี พ.ศ. 2437

กาดกองต้า หรือ ตลาดจีน
เป็นย่านตลาดเก่าตั้งอยู่ขนานกับลำน้ำวัง
ในซอยตลาดจีนริมน้ำ มีอาคารโบราณอายุเกือบร้อยปีบนถนนตลาดเก่าทั้งสาย
ชุมชนกาดกองต้าถือเป็นถนนสายเศรษฐกิจ ที่มีความเป็นมาที่เก่าแก่
และมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์
กาดกองต้า หมายถึง ตลาดตรอกท่าน้ำ
ในอดีตเคยเป็น ตลาดที่มีความเจริญรุ่งเรืองมากตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5
เนื่องจากเมืองลำปางนั้นเคยเป็นศูนย์กลางทางการค้าของ
ภาคเหนือย่านการค้าส่วนมากมักเกิดขึ้นริมฝั่งแม่น้ำสายใหญ่อย่างแม่น้ำวัง
ทำให้เกิดชุมชนที่เข้ามาทำธุรกิจ เช่น อังกฤษ พม่า และจีน
ซึ่งเป็นกลุ่มที่เข้ามาทำการค้ามากที่สุด จนกลายเป็นชุมชนชาวจีนขนาดใหญ่
ชาวบ้านจึง เรียก กาดกองต้า ว่า ตลาดจีน
http://www.paiduaykan.com

street art กาดกองต้า 2561

street art กาดกองต้า 2561

street art กาดกองต้า 2561

street art กาดกองต้า 2561

พบว่า ดร.นิรันดร์ จิวะสันติการ ได้แชร์ภาพ street art
ที่ถ่ายกับศิลปิน นักเรียน นักท่องเที่ยว และภาพที่กำลังวาดอยู่
บนกำแพงบริเวณรอบ ๆ กาดกองต้า ลำปาง
ติดกับสะพานรัษฎาภิเศก หรือสะพานขาว
อันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเลื่องชื่อ ในเมืองที่ไม่หมุนไปตามกาลเวลา
มีชาวลำปาง และนักท่องเที่ยวให้ความสนใจจำนวนมาก
และอยู่ระหว่างการวาดภาพไปตามแผนการพัฒนา
ภาพที่ได้เห็นเรียกว่าเสร็จกัน สดสด ร้อนร้อน

มีข้อความประกอบภาพว่า
ได้ไปเห็นกับตาได้ฟังด้วยหู พอรู้พอเข้าใจ และชื่นชมยินดี
กับกลุ่มและคณะที่มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
ที่จะสร้างสีสันให้กับชุมชนริมแม่น้ำ และสะพานประวัติศาสตร์ของลำปาง
Lampang iconic bridge and the street art movement to
add life and beauty to the river walk and the community.

https://www.facebook.com/nirund.jivasantikarn/

kard10
ภาพสวย ๆ ในกลุ่ม ศิลปินเมืองรถม้า
โดย คุณนิเวศน์ อินติ๊บ
https://www.facebook.com/groups/145987012594744/

street art กาดกองต้า 2561

street art กาดกองต้า 2561

street art กาดกองต้า 2561

street art กาดกองต้า 2561

street art กาดกองต้า 2561

street art กาดกองต้า 2561rt

ควันหลงรดน้ำดำหัวสงกรานต์ ที่ม.เนชั่น และสโมสรไลออนส์ลำปาง

ควันหลงรดน้ำดำหัวสงกรานต์ ที่ม.เนชั่น และสโมสรไลออนส์ลำปาง
http://77kaoded.com

ในช่วงงานประเพณีรดน้ำดำหัว
หรือช่วงปีใหม่เมือง หรือสงกรานต์ของชาวล้านนา
ในปี 2561 ที่ผ่านมาพบกิจกรรมมากมาย
ที่ส่งเสริมการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมของชาวเหนือ
มีการโพสต์ในสื่อสังคม
เช่น วันที่ 27 เมษายน 2561 ณ มหาวิทยาลัยเนชั่น (Nation University)
หรือ วันที่ 22 เมษายน 2561 ณ สวนอาหารเรือนแพ
สามารถใช้ hashtag ได้หลากหลาย

อาทิ
#สระเกล้าดำหัว
#รดน้ำดำหัว
#สงกรานต์
#ลำปางรักษ์เมืองเก่า

กิจกรรมที่พบในสื่อสังคม
จากเฟสของ ดร.นิรันดร์ จิวะสันติการ อธิการบดีผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยโยนก
#nirundjivasantikarn อาทิ
1. รดน้ำดำหัวในสถาบันการศึกษา
ที่ผู้ใหญ่ก็มักจะต้องให้ศีลให้พรกับลูกหลาน
https://www.facebook.com

2. ร่วมกิจกรรมรำวง กับนักศึกษาปัจจุบัน
https://www.facebook.com

3. นั่งล้อมวงทานข้าวกับศิษย์เก่า
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=10204429336489689&set=pcb.10204429342649843

4. ลูกศิษย์ลูกหา นักศึกษา คณาจารณ์ และผุ้เยาว์
เข้ารดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ในมหาวิทยาลัย
https://www.facebook.com

5. สโมสรไลออนส์ลำปางจัดพิธีขอพรจากผู้อาวุโส 22 เมษายน 2561
เพื่อเป็นศิริมงคลแก่ตนและครอบครัว
ซึ่งงานนี้ นายกศุภชาติ สุขประเสริฐ เป็นประธานจัดงาน
ภาพจากเฟส Nuansri Promchaiwong
https://www.facebook.com

6. ลูกศิษย์ของมหาวิทยาลัยโยนก
พากันรวมกลุ่มมารดน้ำดำหัวจาก ดร.นิรันดร์ จิวะสันติการ
https://www.facebook.com

7. พรปีใหม่ โดย ดร.นิรันดร์ จิวะสันติการ
https://www.facebook.com

งานประเพณีรดน้ำดำหัว หรือช่วงปีใหม่เมือง หรือสงกรานต์ของชาวล้านนา

งานประเพณีรดน้ำดำหัว
หรือช่วงปีใหม่เมือง หรือสงกรานต์ของชาวล้านนา

งานประเพณีรดน้ำดำหัว หรือช่วงปีใหม่เมือง หรือสงกรานต์ของชาวล้านนา

งานประเพณีรดน้ำดำหัว
หรือช่วงปีใหม่เมือง หรือสงกรานต์ของชาวล้านนา

งานประเพณีรดน้ำดำหัว หรือช่วงปีใหม่เมือง หรือสงกรานต์ของชาวล้านนา

งานประเพณีรดน้ำดำหัว
หรือช่วงปีใหม่เมือง หรือสงกรานต์ของชาวล้านนา

งานประเพณีรดน้ำดำหัว หรือช่วงปีใหม่เมือง หรือสงกรานต์ของชาวล้านนา

งานประเพณีรดน้ำดำหัว
หรือช่วงปีใหม่เมือง หรือสงกรานต์ของชาวล้านนา

งานประเพณีรดน้ำดำหัว หรือช่วงปีใหม่เมือง หรือสงกรานต์ของชาวล้านนา

งานประเพณีรดน้ำดำหัว
หรือช่วงปีใหม่เมือง หรือสงกรานต์ของชาวล้านนา

งานประเพณีรดน้ำดำหัว หรือช่วงปีใหม่เมือง หรือสงกรานต์ของชาวล้านนา

งานประเพณีรดน้ำดำหัว
หรือช่วงปีใหม่เมือง หรือสงกรานต์ของชาวล้านนา

งานประเพณีรดน้ำดำหัว หรือช่วงปีใหม่เมือง หรือสงกรานต์ของชาวล้านนา

งานประเพณีรดน้ำดำหัว
หรือช่วงปีใหม่เมือง หรือสงกรานต์ของชาวล้านนา

งานประเพณีรดน้ำดำหัว หรือช่วงปีใหม่เมือง หรือสงกรานต์ของชาวล้านนา

งานประเพณีรดน้ำดำหัว
หรือช่วงปีใหม่เมือง หรือสงกรานต์ของชาวล้านนา

งานประเพณีรดน้ำดำหัว หรือช่วงปีใหม่เมือง หรือสงกรานต์ของชาวล้านนา

งานประเพณีรดน้ำดำหัว
หรือช่วงปีใหม่เมือง หรือสงกรานต์ของชาวล้านนา

งานประเพณีรดน้ำดำหัว หรือช่วงปีใหม่เมือง หรือสงกรานต์ของชาวล้านนา

งานประเพณีรดน้ำดำหัว
หรือช่วงปีใหม่เมือง หรือสงกรานต์ของชาวล้านนา

ดอกกัลปพฤกษ์สีชมพูอ่อน ในแคมปัส

ข่าวดอกกัลปพฤกษ์

ข่าวดอกกัลปพฤกษ์

http://77kaoded.com/

เมื่อวันอังคารที่ 20 มีนาคม 2561
ดร.นิรันดร์ จิวะสันติการ ได้แบ่งปันประสบการณ์ที่งดงาม
ในเฟสบุ๊ค ว่า “เมื่อเป็นอธิการบดีผมชอบสอนหนังสือ
ปี้นี้ต้นกัลปพฤกษ์ออกดอกดีและดกสวยงามที่สุด
วันนี้ได้โอกาสพานักศึกษาชมภูมิทัศน์ และเล่าเรื่องว่าสามสิบที่แล้ว
ที่ดินที่เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยนี้ เคยเป็นที่รกร้างว่างเปล่า
ขอบคุณศาตราจารย์เดชา บุญค้ำ อดีตคณบดีคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เป็นผู้ออกแบบภูมิทัศน์และระบุต้นไม้พรรณไม้ทุกชนิดทุกต้น
ทำให้เป็นแคมปัสที่ร่มรื่นสวยงามน่าอยู่น่าอาศัยน่าเรียนน่าเล่นที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ
This year our Pink Shower Or Pink Cassia (Cassia ballerina) is fullest bloom since 1988
some thirty years ago. Can’t resist taking students for a guided tour
of our campus flaura amidst the beautiful landscape deigned by
one of Thailand best known landscapes architects—Decha Boonkham
former Dean of Architecture School Chulalongkorn University.
https://www.facebook.com/nirund.jivasantikarn/posts/10204265228867101

ดร.นิรันดร์ กับนักศึกษา

ดร.นิรันดร์ กับนักศึกษา

ปัจจุบันจะมีนักศึกษา อาจารย์ และบุคคลภายนอก
เข้ามาเก็บภาพที่สวยงามกับดอกกัลปพฤกษ์อยู่บ่อยครั้ง
ในฤดูที่ดอกบาน ช่วงกุมภาพันธ์ – มีนาคม ของทุกปี

ดร.นิรันดร์ จิวะสันติการ

ดร.นิรันดร์ จิวะสันติการ

โดย กัลปพฤกษ์ เป็น ไม้ยืนต้นขนาดกลาง
พบได้มากทางภาคอีสานและภาคเหนือ
เป็นพันธุ์ไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัดขอนแก่น และเป็นดอกไม้ประจำจังหวัดราชบุรี
พุ่มใบแบนกว้าง ดอกสีชมพูอ่อน ออกเป็นช่อระหว่างทิ้งใบหรือผลิใบใหม่
มีความสูงประมาณ 10-15 เมตร เปลือกนอกสีเทาลำต้นมีรอยเป็นเส้นเล็กน้อย
แตกกิ่งก้านพุ่งสู่ด้านบนไม่ค่อยเป็นระเบียบ ใบเป็นแผงมีใบย่อยประมาณ 5-6 คู่ออกเรียงตรงกัน
ตามก้านใบเป็นคู่ ใบบางเรียบปลายใบแหลม ขนาดของใบกว้างประมาณ 2-4 เซนติเมตร
ใบยาวประมาณ 4-7 เซนติเมตร

ดอกออกเป็นช่อตามกิ่งก้านมีกลิ่นหอมมีสีชมพูแกมขาว
ดอกบานจะมีความกว้างประมาณ 23 เซนติเมตร
มีกลีบดอก 5 กลีบ ตรงกลางดอกจะมีเกสรตัวผู้สีเหลือง ผลเป็นฝักกลม ยาว มีสีดำ
เมื่อแก่เนื้อในฝักมีสีขาวกั้นเป็นชั้น ๆ แต่ละชั้นจะมีเมล็ดเรียงอยู่ภายใน
ฝักหนึ่งยาวประมาณ 15-30 เซนติเมตร มีลักษณะใบ เป็นพุ่มใบแบนกว้าง
เนื่องจากกัลปพฤกษ์มีดอกดกสวยงาม
จึงมักปลูกเป็นไม้ประดับตามอาคารบ้านเรือนและถนนหนทาง
แต่ประโยชน์ทางด้านพืชสมุนไพรก็มีเช่นกัน โดยเฉพาะเนื้อในฝัก
ใช้เป็นยาระบายอ่อน ๆ เมล็ดใช้บำรุงธาตุ แก้ไข้จับสั่น หืด ริดสีดวง แน่นหน้าอก
ขับลม โลหิตพิการ ถ่ายพยาธิ และแก้ปวดแสบปวดร้อนตามผิวหนัง และร่างกาย เป็นต้น
https://th.wikipedia.org/wiki/

pre-wedding

pre-wedding

นั่นดอกกัลปพฤกษ์

นั่นดอกกัลปพฤกษ์

ภาพจากนิเวศน์ อินติ๊บ
https://www.facebook.com/nivate2012/posts/1385236438289791
https://www.facebook.com/nivate2012/posts/1381116565368445
https://www.facebook.com/nivate2012/posts/1116434611836643

นักศึกษาหญิง

นักศึกษาหญิง

นักศึกษาชาย

นักศึกษาชาย

ภาพจากนักข่าวอาสา Wimonsiri Intapa
https://www.facebook.com/groups/589171741245234/permalink/984906088338462/

ดอกไม้งาม

ดอกไม้งาม

ภาพจากอัลบั้ม ชีวิต แสง เงา
https://www.facebook.com/photo.php

รายงานสภาพอากาศที่ air4thai

เผาป่า ทำไม (wildfire)

เพื่อเก็บของป่า เผ่าไร่ แกล้งจุด ความประมาท ล่าสัตว์ เลี้ยงปศุสัตว์ และความคึกคะนอง

รายงานสภาพอากาศที่ air4thai

รายงานสภาพอากาศที่ air4thai

เมื่อ 12.00 วันที่ 6 มีนาคม 2561 สูงสุดอยู่ที่ ต.บ้านดง อ.แม่เมาะ จ.ลำปาง
PM10 = 238 อยู่ในระดับมีผลกระทบต่อสุขภาพ
ดูสภาพอากาศได้ที่ http://air4thai.pcd.go.th/web/

 

สาเหตุเผาป่า

สาเหตุเผาป่า

หากแบ่งสาเหตุการเกิดไฟป่า ก็จะมี 2 สาเหตุ
คือ โดยธรรมชาติ และโดยมนุษย์
โดยธรรมชาติ ก็มาจาก 1) ฟ้าผ่า และ 2) กิ่งไม้ใบไม้เสียดสีกัน

สาเหตุเผาป่า

สาเหตุเผาป่า

โดยมนุษย์มี 7 สาเหตุ
1. เก็บของป่า
เพราะคนมีเงินเดือน จะยอมจ่ายเงินให้กับของป่าในราคาสูง
ของป่าหายาก เข้าป่าไปเก็บมีเยอะเลย
ของป่า มักไม่ได้ปลูกเอง ออกตามฤดู
บางทีต้องเผาถึงจะออกเยอะ
เช่น เห็ดเผาะ กับ ผักหวาน
คนในเมืองชอบซื้อหาไปทำกิน แม้ตั้งราคาสูง เค้าก็ซื้อ

2. เผาไร่
ทำไร่ ไถนา เสร็จก็มีวัชพืช หรือซากพืช
ก็ต้องกำจัด ด้วยการเผา
ใครเขาทำ ก็ทำตาม ๆ กันมา

3. แกล้งจุด
เรื่องป่า เรื่องงบ
มีปัญหาระหว่างกลุ่มคน หรือหน่วยงาน
แกล้ง หรือ แก้แค้น ให้อีกฝ่ายเดือดร้อน

4. ความประมาท
ไปพักแรมก่อไฟทิ้งไว้ หรือทิ้งก้นบุหรี่
ถ้าไม่ดับจนสนิท อะไรก็เกิดขึ้นได้

5. ล่าสัตว์ป่า
ได้สัตว์ป่าเอามากิน เอามาขาย คนเมืองก็ยอมจ่ายแพง ๆ
เผาป่า แล้วหญ้าแตกใหม่ สัตว์ตัวใหญ่จะมาเล็มกิน
ก็รอยิง เสือ สิงห์ กระทิง แรด ช้าง ม้า วัว ควายป่ากันได้

6. เลี้ยงปศุสัตว์
ในป่ารก ถ้าเผาก็จะมีพื้นที่ มีหญ้าขึ้นใหม่ สำหรับเลี้ยงสัคว์

7. ความคึกคะนอง
ในเมืองมีวัยรุ่นที่คึกคะนอง ทำอะไรมากมาย
ในชนบทก็มีคนคึกคะนอง จุดไฟเหมือนกัน

สาเหตุเผาป่า

สาเหตุเผาป่า

ข้อมูลจาก กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธ์พืช
http://www.dnp.go.th/forestfire/FIRESCIENCE/lesson%201/lesson1_6.htm

เศษใบไม้ ใบหญ้า เอาไปทำปุ๋ย

เศษใบไม้ ใบหญ้า เอาไปทำปุ๋ย