บทคัดย่อเรื่อง “ใครเอาเนยแข็งของฉันไป”
แปลจากหนังสือเรื่อง “Who moved my cheese?”
แต่งโดย นายแพทย์ สเปนเซอร์ จอห์นสัน
ปรับมาจากบทความของ g4968073 @ pirun.ku
who moved my cheese?
ที่มาที่ทำให้เรื่องนี้น่าสนใจ
1. Barack Obama ประธานาธิบดีคนที่ 44 ของสหรัฐ พูดคำว่า “hope” and “change”
2. ในทางไอที เมื่อพัฒนาองค์กรโดยใช้ไอที ย่อมเกิดการต่อต้านการเปลี่ยนแปลงเสมอ
3. อาจารย์ที่สอนแฟนใน วิชา HR แนะนำหนังสือ “ใครเอาเนยแข็งของฉันไป”
4. บทบาทในนิทานมี 2 บทบาทสำคัญคือ
หนูชื่อ scurry(ลนลาน), sniff(สูดกลิ่น) และคนแคระชื่อ hem(ปิดล้อม) และ haw(ลังเล)
http://www.thaiall.com/blogacla/admin/1684/
เกริ่นนำ
(Introduction)
แองเจล่า เนธาน คาร์ลอส ไมเคิล และเพื่อนร่วมห้องอีกหลายคน นัดทานข้าวหลังงานเลี้ยงรุ่นวันหนึ่ง หลังจากไม่ได้พบหน้ากันมานาน เพราะต่างคนต่างแยกย้ายไปทำงาน ตามทางของตน การพบกันคราวนี้จึงเป็น โอกาสให้ทุกคนได้คุยหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน การสนทนาหลังอาหารดำเนินไปอย่างออกรสชาติ แต่ละคนได้แลกเปลี่ยนเรื่องสารทุกข์สุกดิบให้กันและกันฟัง
แม้จะแตกต่างกันด้วยอาชีพการงาน ทุกคนต่างรู้สึกเหมือนกันว่ามีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในชีวิตมากมาย และการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดช่างเป็นเรื่องยาก เพื่อนหลายยอมรับว่ายังไม่รู้ว่าจะ “รับมือ” กับความเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร
แล้ววงสนทนาก็เริ่มหันมาให้ความสนใจกับ สาเหตุ(cause) ที่ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยยอมเปลี่ยนแปลงอะไร ทั้งที่การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นรอบ ๆ ตัวตลอดเวลา คาร์ลอส กัปตันทีมฟุตบอลของโรงเรียน ผู้ซึ่งมีกิตติศัพท์เรื่องความเก่งกล้าทางกีฬา สรุปให้ฟังอย่างน่าสนใจว่า “บางทีเราอาจจะกลัวความเปลี่ยนแปลงก็ได้”
“ตอนที่เกิดเรื่องกับธุรกิจของผม ผมเองก็กลัวเหมือนกัน กลัวโน่นกังวลนี่ จนไม่กล้าทำอะไรซักอย่างจนเกือบจะเสียอะไร ๆ ไป พอมาได้ยินนิทานเรื่อง “ใครเอาเนยแข็งของ ฉันไป” ก็เลยได้คิด ผมเริ่มมองการเปลี่ยนแปลงด้วยมุมมองใหม่ แล้วชีวิตการงานและชีวิตส่วนตัวก็เริ่มดีขึ้น”
ประโยคสุดท้ายของไมเคิล ได้จุดประกายความอยากรู้อยากเห็นของเพื่อน ๆ ที่นั่งรอบโต๊ะอาหาร แล้วเพื่อนก็พร้อมใจกันพูดว่า “เล่าให้เราฟังบ้างสิ ไมเคิล”
—————————————————-
เรื่อง ใครเอาเนยแข็งของฉันไป
(Who moved my cheese?)
ณ ดินแดนอันไกลโพ้นที่มีชื่อเรียกขานกันว่า “อาณาจักรแห่งเมซ” ซึ่งภายในเต็มไปด้วย ช่องคดเคี้ยวไปมาราวเขาวงกตและโพรงลึกลับมากมาย ภายในโพรงเหล่านี้บางแห่งมืดทะมึนน่ากลัว แต่บางแห่งกลับเต็มไปด้วยเนยแข็งรสโอชะ อาณาจักรแห่งเมซ เป็นที่อาศัยของหนูสองตัว ชื่อ scurry และ sniff และคนแคระสองคน ชื่อ hem และ haw ทั้งหมดมีชีวิต ด้วยการกินเนยแข็งเป็นอาหาร
scurry และsniff ก็เหมือนหนูทั่ว ๆ ไป หาอาหารโดยใช้จมูกดมกลิ่นและวิ่งตามหาไปเรื่อย มันใช้สัญชาตญาณเป็นหลัก ผิดบ้างถูกบ้าง ถ้าเข้าไปในโพรงไหนแล้วไม่พบอะไร ก็หันหลังกลับออกมา แล้ววิ่งหาต่อไปจนกว่าจะพบเนยแข็งที่ต้องการ
hem และ haw มีสมองที่ฉลาดล้ำและเต็มไปด้วยความเชื่อต่าง ๆ นานา ทั้งคู่รู้จักคิดและเรียนรู้จากประสบการณ์ในอดีต และเชื่อว่า “เนยแข็ง” แบบที่ตนกินต้องพิเศษกว่าของใครอื่น ทั้งสองเชื่อว่าเนยแข็งชนิดพิเศษจะทำให้ชีวิตมีความสุขและสมหวัง
แล้วทั้งสี่ชีวิตก็ค้นพบโพรงมหึมาที่มีเนยแข็งอยู่เต็มเพียบ ทั้งคนแคระ ทั้งหนูต่างเลือกกิน กันอย่างสบายอกสบายใจ อิ่มแล้วก็กลับบ้านนอน เช้าวันรุ่งขึ้นก็วิ่งกลับมาใหม่ scurry และ sniff เป็นหนูขยัน ตื่นแต่เช้าแล้วออกวิ่งตามเส้นทางเดิมมุ่งหน้าไปยังโพรงเนยแข็งเหมือนเคยทุกวัน ทำเช่นนี้เป็นกิจวัตรประจำ hem และ haw มาพักหลัง เริ่มขี้เกียจ และมองไม่เห็นความจำเป็นว่าจะต้องเร่งรีบตื่นเช้าไปทำไม ในเมื่อ “เรามีเนยแข็งอยู่ตั้งเยอะ กินจนตายก็ไม่หมด” ทั้งสองดีใจกับความสุขใหม่ในชีวิต และเฝ้าบอกตัวเองว่าต่อจากนี้ไปไม่ต้องห่วงอะไรอีกแล้ว
“มีเนยแข็งอยู่กับตัวกลัวอะไร ชีวิตมีแต่สุข สดใส ไร้กังวล”
hem และ haw เขียนข้อความนี้ติดฝาผนังบ้านตัวเองแล้ววาดรูปเนยแข็งล้อมไว้
วันเวลาผ่านไป ความสบายใจกลับกลายเป็นความชะล่าใจในที่สุด ทั้งคู่ไม่เคยสังเกตเลยว่า เกิดอะไรขึ้นกับเนยแข็งในโพรงมหึมานั้น ตรงกันข้ามเจ้าหนู scurry และ sniff ซึ่งวิ่งไปถึงแหล่งอาหารแต่เช้าทุกวัน เมื่อถึงแล้วก็ถอดรองเท้าห้องคอไว้จะได้ไม่หาย เพราะอาจต้องใช้รองเท้าวิ่งไปหาอาหารในแหล่งอื่นต่อไป เนื่องจากสังเกตเห็นว่าเนยแข็งที่มันกินร่อยหรอลงทุกวัน มันจึงไม่แปลกใจที่อยู่มาวันหนึ่ง พบว่าไม่มีเนยแข็งเหลืออยู่ในโพรงเลย มันรู้อยู่เต็มอกว่าเหตุการณ์นี้จะต้องเกิดขึ้นสักวัน และเมื่อวันนั้นมาถึงมันจึงไม่เสียเวลากับการวิเคราะห์หาสาเหตุ เพราะคำถามและคำตอบแจ่มแจ้งอยู่ตรงหน้า ว่าสถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว ด้วยสัญชาตญาณของหนูมัน จึงรู้ทันทีว่าจะต้องทำอะไรต่อไป ว่าแล้ว scurry และsniff ก็ไม่รอช้า รีบวิ่งปรู๊ดออกไปหาเนยแข็งก้อนใหม่ทันที
สายวันเดียวกัน hem และ haw เดินทอดน่องมาถึงโพรงเนยแข็งที่เดิม โดยที่ ไม่เคยเตรียมอก เตรียมใจมาก่อน ทันทีที่ไม่เห็นอาหาร ทั้งคู่จึงตกใจและทำใจไม่ได้ “ใครมาเอาเนยแข็งของฉันไป” hem และ haw ถามกันวุ่นวายและเริ่มโวยวายว่า “ไม่ยุติธรรมเลย ทำไมไม่มีใครมาบอกก่อน ว่ามันจะหมด ทำอย่างนี้ก็แย่ซิ อุตส่าห์วางแผนในชีวิตไว้ตั้งเยอะ หายไปเฉย ๆ แบบนี้แล้วพรุ่งนี้จะทำอย่างไรล่ะ” ทั้งคู่วนเวียนคิดไปคิดมาอยู่หลายตลบกับการค้นหาคำตอบว่าทำไมเนยแข็งจึง “หายไป” มันหายไปไหน ใครเอาไป ชีวิตจะเป็นอย่างไร ถ้าไม่มีอะไรกิน
“ยิ่งเนยแข็งสาคัญกับเรามากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งยึดติดกับมันมากเท่านั้น”
haw เขียนบอกตัวเองบนฝาผนัง
“ทำไมเราไม่ออกไปหาที่ใหม่ล่ะ บางทีอาจจะมีเนยแข็งอยู่ที่อื่นอีกก็ได้นะ” haw ออกปากชวนเพื่อน
“ไม่เอา” hem รีบปฏิเสธ
“ฉันคุ้นกับตรงนี้แล้ว มันสบายดี อีกอย่าง ฉันเองก็แก่แล้ว ไม่อยากออกไปวิ่ง เสียแรง เสี่ยงหลงทางด้วย ที่อื่นจะเป็นยังไงก็ไม่รู้ นายรู้ได้ยังไงว่า ออกไปหาแล้วจะเจอ สู้เรานั่งรอตรงนี้ ต่อไปอีกหน่อยดีกว่า อีกเดี๋ยวเขาก็เอาเนยแข็งมาคืนเองแหละ” hem อธิบาย
ขณะที่คนแคระทั้งคู่เฝ้ารออย่างลม ๆ แล้ง ๆ ว่าเมื่อไหร่อาหารวิเศษของตนจะกลับมา เจ้าหนู scurry และ sniff ซึ่งไม่ได้คิดอะไรอื่น นอกจากใช้จมูกดม แล้ววิ่งหาแหล่งอาหารแห่งใหม่ ก็ได้พบสิ่งที่มันต้องการ เนยแข็งกองมหึมาอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนกองอยู่ในโพรงตรงหน้า
ความกลัวทำให้ทั้ง hem และ haw ไม่ยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น ทั้งคู่นิ่งไม่ยอมทำอะไร นอกจากเวียนไปวนมาดูโพรงที่ปราศจากเนยแข็ง เฝ้ารอวันแล้ววันเล่า ราวกับจะได้คำตอบที่ต้องการ ยิ่งรอนานวันเข้าสถานการณ์ก็ยิ่งเลวร้ายลง ทั้งคู่ตัวผอมโซ อ่อนโรย สมองเครียดหนักขึ้นทุกวัน เพราะไม่มีอะไรกิน แล้ววันหนึ่ง haw ก็หัวเราะให้กับความโง่เขลาของตนเอง และตะโกนบอกเพื่อนว่า “โธ่เอ๊ย จะให้อะไร ๆ มันดีขึ้นได้ยังไง ก็เรามัวแต่อยู่กันอย่างนี้ จะไปได้อะไร วนถามไป ๆ มา ๆ แต่เรื่องเก่า ๆ ซ้ำ ๆ ซาก ๆ ทุกวัน ตอนนี้อะไร ๆ มันเปลี่ยนไปแล้ว และคงไม่มีวันกลับมาเหมือนเดิมได้อีก ชีวิตเราก็เหมือนกันไม่สิ้นก็ต้องดิ้นกันไป จริงมั๊ย”
“ถ้าเราไม่เปลี่ยนแปลงตัวเอง เราคงต้องสูญพันธุ์แน่เลย“ haw เขียนข้อความ เตือนเพื่อนและตัวเองบนฝาผนัง
ในที่สุด haw ก็ตัดสินใจว่าจะออกไปหาอาหารที่ใหม่ การปลดเปลื้องตัวเองให้หลุดพ้นจากความกลัว ทำให้เขารู้สึกปลอดโปร่ง และกระชุ่มกระชวยขึ้นมาอย่างประหลาด ถึงตอนนี้เขารู้แล้วว่า การกลัวอะไรมากเกินไปจนไม่กล้าขยับทำอะไรเลยเป็นสิ่งไม่ดี แต่บางครั้งความกลัวก็อาจ ให้ผลดีเหมือนกัน เพราะมันอาจเร่งให้เราตัดสินใจทำอะไรบางอย่างได้แต่เนิน ๆ
“รู้งี้ตัดใจตั้งแต่แรกก็ดีหรอก มัวแต่นั่งลุ้นรอ ไม่มีอะไรกินอยู่ในนั้นตั้งนาน หิวก็หิว โทรมก็ โทรม คราวหน้าถ้าเจอแบบนี้อีก มันจะรีบปรับตัวเข้ากับเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปให้เร็วกว่านี้ อะไรๆ จะได้ง่ายขึ้น” haw พร่ำบอกตัวเองว่าเหตุการณ์คราวนี้เป็นบทเรียนสำคัญ แต่ถึงจะช้า ก็ยังดีกว่าไม่ตัดสินใจทำอะไรเลย เขาเขียนสิ่งที่เพิ่งได้เรียนรู้ใหม่บนฝาผนังว่า
“คุณจะรู้สึกเป็นอิสระ เมื่อก้าวพ้นความกลัว”
แล้ว haw ก็ออกตระเวนหาเนยแข็งก้อนใหม่ ทั้ง ๆ ที่ยังรู้สึกไม่มั่นใจนักว่าจะได้เจอ ทุกอย่างดูเลือนราง สับสน แต่ก็ไม่ได้น่ากลัวมากอย่างที่คิด เขายอมรับว่าบางทีก็รู้สึกท้อแท้ แต่ทุกครั้งที่ เริ่มรู้สึกท้อแท้ เขาจะรีบยับยั้งและเตือนตัวเองว่า “ถ้า scurry และ sniff ทำได้ ฉันก็ทำได้ เหมือนกัน” ไม่นานเขาก็เริ่มคิดได้ว่าที่จริงเนยแข็งในโพรงคงไม่ได้หายวับไปในพริบตาอย่างที่คิด ถ้าได้เฉลียวใจดูสักนิดก่อนหน้านี้ก็คงเห็นว่าเนยแข็งมันร่อยหรอลงทุกวัน นี่เป็นเพราะเขาไม่ได้คิดล่วงหน้าว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ก็เลยต้องมาเจอสถานการณ์แบบนี้
“อย่ามัวแต่กินอย่างเดียว ต้องดม ๆ เนยแข็งดูบ้าง จะได้รู้ว่ามันเก่าหรือเปล่า” haw เขียนข้อความเตือนใจบนฝาผนังอีก
haw ยังคงเดินหาเนยแข็งต่อไปตามช่องทางที่ลดเลี้ยวและมุมมืดต่าง ๆ แต่ก็ผิดหวัง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า มีแต่โพรงที่ว่างเปล่า บางโพรงมีแต่เศษเนยแข็งตกอยู่นิดหน่อย เขารู้ทันทีว่าต้องมีใครมาถึงโพรงแห่งนี้ก่อน และกินเนยแข็งไปจนหมด แล้วเขารู้สึกเสียดายว่าถ้าตัดสินใจเร็วกว่านี้อีกนิด ไม่มัวแต่คิดกลัวอะไรไปบ้า ๆ ป่านนี้คงได้อิ่มอร่อยไปแล้ว
“ปล่อยวางจากเนยแข็ง ก้อนเดิมได้เร็วเท่าไหร่ ก็มีโอกาสพบเนยแข็งก้อนใหม่เร็วขึ้นเท่านั้น”
haw เดินย้อนกลับไปหาเพื่อนหวังชวนออกไปหาอาหารด้วยกัน แต่ hem ก็ยังไม่ยอมร่วมทางด้วยอยู่ดี “ยังไง ฉันก็จะอยู่ ตรงนี้ จนกว่าจะได้เนยแข็งของฉันกลับมา ฉันไม่ยอมเปลี่ยนอะไรทั้งนั้น จนกว่าจะได้ของที่อยากได้” haw จำต้องปล่อยให้เพื่อนอยู่ในโพรงที่ปราศจากเนยแข็งต่อไป เขารู้แล้วว่าความเชื่อเดิม ๆ ที่ว่าทุกอย่างจะอยู่ยั่งยืนตลอดไป บัดนี้ได้เปลี่ยนไป แล้ว เขาเริ่มยอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องธรรมดาและเกิดขึ้นตลอดเวลา อาการตกใจหรือประหลาดใจเกิดขึ้น เพราะเขาไม่ยอมรับหรือรู้เท่าไม่ถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นต่างหาก
“ความเชื่อเก่า ๆ ที่ฝังอยู่ในหัว ไม่ได้ช่วยให้เราพบเนยแข็งก้อนใหม่เลย” haw เขียนเป็นอุทาหรณ์เตือนใจ
“การสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลง แม้เพียงเล็กน้อย แต่เนิ่น ๆ ช่วยให้ปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ที่จะตามมาได้ง่ายขึ้น”
haw เดินต่อไปจนถึงโพรงใหญ่แห่งหนึ่ง ตาของเขาเบิกกว้างและหัวใจพองโต ด้วยความดีใจเมื่อเห็นเนยแข็ง จำนวนมากมายกองโตเป็นภูเขาอยู่ในโพรงแห่งนั้น เขาเห็นเจ้าหนู scurry และ sniff อยู่ข้าง ๆ มันยิ้มรับและโบกมืออันอวบอ้วนทักทาย เขารู้ในทันทีว่าหนูทั้งสองตัวคงอยู่กิน ที่นี่มานานโขแล้ว
haw ใช้เวลาขณะที่กำลังอร่อยกับเนยแข็งก้อนใหม่ ประมวลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและสรุปว่าจุดแรกที่ทำให้เขาเริ่มเปลี่ยนแปลงเริ่มต้นมาจากการที่เขาเปิดใจยอมรับว่าตัวเองทำผิด และวิธีที่เร็วที่สุดที่จะปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงก็คือ การสลัดอดีตทิ้งไปและก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
เขารู้สึกละอายใจ เมื่อคิดเปรียบเทียบตัวเองกับเจ้า scurry และ sniff ซึ่งเป็นเพียงสัตว์ตัวเล็ก ๆ ที่ไม่มีสมอง แต่กลับเอาตัวรอดกับสถานการณ์นี้ได้อย่างน่าอัศจรรย์ เขาได้บทเรียนชิ้นสำคัญจากเหตุการณ์นี้เป็นประโยชน์ต่อการ “รับมือ” กับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตว่า
* ต้องรู้จักวิธีที่จะทำให้ชีวิตเป็นเรื่องง่าย มีความยืดหยุ่น และพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว
* ไม่จำเป็นต้องทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก หรือปล่อยให้ความเชื่อเก่า ๆ มาทำให้เรากลัวและสับสน
* การสังเกตเห็นหรือล่วงรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงแม้เพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ ช่วยให้เราเตรียมตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่กว่าที่จะมาถึงได้ดีขึ้น
* การปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงต้องกระทำอย่างรวดเร็วและทันการณ์ จึงจะมีประโยชน์
* อุปสรรคสำคัญที่ขัดขวางไม่ให้เราเปลี่ยนแปลงก็คือตัวของเรานั่นเอง ไม่มีใครสามารถควบคุมหรือผลักดันให้เรา “เปลี่ยน” ได้ ถ้าเราไม่ยอม “เปลี่ยน” ตัวเอง
* มี “เนยแข็ง” ก้อนใหม่รอให้เราค้นพบอยู่เสมอ เพียงถ้าเราตัดสินใจออกแสวงหา สิ่งสำคัญคือ ต้องสลัดตัวเองให้หลุดพ้นจากความกลัว ยอมรับความเปลี่ยนแปลงและก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว จึงจะบรรลุเป้าหมายได้ตามที่หวัง
* ความกลัวบางครั้งก็มีประโยชน์ หากมันทำให้เราหลีกเลี่ยงอันตรายได้ แต่บ่อยครั้งที่ความกลัวเป็นเรื่องไร้สาระ และเป็นสาเหตุสาคัญที่ขัดขวางไม่ให้เรา “เปลี่ยน” ในยามจำเป็น
* การเปลี่ยนแปลงนำมา ซึ่งสิ่งที่ดีกว่า และทำให้เราได้ “ค้นพบ” ตัวเราเอง
รวบรวมสัจจธรรม
ที่ได้ค้นพบและเรียนรู้ด้วยตัวเอง
การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเป็นนิรันดร์
มีคนคอยย้ายเนยแข็งของเราอยู่เสมอ
เตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง
พร้อมเสมอเมื่อเนยแข็งถูกย้ายไปจากที่เดิม
หมั่นตรวจดูว่ามีอะไรเปลี่ยนไปหรือไม่
ต้องคอยดมกลิ่นเนยแข็งเป็นประจำ จะได้รู้ว่ามันเสียหรือเปล่า
เปิดใจให้ยอมรับและปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ปล่อยวางจากเนยแข็งก้อนเดิมได้เร็วเท่าไหร่
ก็มีโอกาสพบเนยแข็งก้อนใหม่เร็วเท่านั้น
“เปลี่ยน” ตัวเอง ขยับตัวเองไปพร้อม ๆ กับเนยแข็งก้อนนั้น
เตรียมพร้อม .. ทำตัว ทำใจ ให้สนุกกับ การเปลี่ยนแปลง
ตื่นเต้นกับการผจญภัย เพื่อค้นหาเนยแข็งก้อนใหม่และเอร็ดอร่อยกับรสชาติของมัน
เตรียมพร้อมที่จะเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว เมื่อการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่มาถึง
เพราะมีคนคอยย้ายเนยแข็งของเราอยู่เสมอ
ชีวิตคนเราคงหาความสุขไม่ได้
หากไม่รู้จักเรียนรู้ที่จะ “Move with the Cheese”
ปรับมาจากบทความของ g4968073
http://pirun.ku.ac.th/~g4968073/report/475534/Wh o%20move%20my%20Cheese.pdf
http://www.royjaithai.com/webboard/index.php?topic=285.0