Category Archives: natural

กระต่ายกับเต่า

http://www.youtube.com/watch?v=qOiPy4z4Ji8

ผศ.ดร.พงษ์อินทร์ รักอริยะธรรม เล่านิทานเรื่อง กระต่ายกับเต่า ให้ฟัง เชิงอุปมาอุปมัยเกี่ยวเนื่องกับการทำงาน แต่มีการปรับเนื้อหานิดหน่อย ให้เพื่อน ๆ บุคลากรของมหาวิทยาลัยเนชั่นฟังเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2555 ณ ห้องประชุมอาคารบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเนชั่น จังหวัดลำปาง เป็นการพบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนกับบุคลากร

http://www.myfirstbrain.com/student_view.aspx?ID=56910

เนื้อเรื่อง ..
มีอยู่ในวันหนึ่ง ได้มีเต่าตัวหนึ่งคลานต้วมเตี้ยม ๆ มาตามวิสัยของมัน และที่ตรงอีกทางด้านหนึ่งก็ได้มีกระต่ายตัวหนึ่งวิ่งผ่านมา ทางนั้นเข้าอย่างบังเอิญด้วยความรวดเร็ว “ฮิฮิ! นี่เจ้าเต่า นายชอบ ที่จะเดินต่วมเตี้ยม ๆ อยู่อย่างนี้เสมอ ๆ ทำไมนายถึงได้เดินได้ช้าอย่างนั้นเล่า?” เต่าจึงได้พูดว่า “ ถึงแม้ว่าข้าจะเดินได้ช้า แต่ถ้าพูดถึงเรื่องของความอดทนแล้วข้าไม่เคยแพ้ใคร

นายลองมาแข่งขันวิ่งไปที่บนยอดเขานั่นกับข้าดูเอาไหมล่ะ ?” กระต่ายเมื่อได้ยินอย่างนั้น ก็หัวเราะลั่นอย่างดัง “ฮ่ะ ฮ้า น่าสนใจมาก เลยทีเดียว แต่รับรองได้ว่าไม่มีทางที่เจ้าจะ เอาชนะข้าไปได้หรอก มันเปรียบเทียบกันไม่ได้..ว่างั้น” กระต่ายเที่ยวไปเรียกพวกพ้องให้มาชุมนุมกันอย่างทันท่วงที และรวมทั้งให้เป็นกรรมการใน การแข่งขันอีกด้วย “ทุก ๆ คนมาดูเป็นสักขีพยานว่าใครจะเป็นผู้ชนะ ในการแข่งขันวิ่งเร็ว ระหว่างเต่าโง่กับตัวข้า..ฮ่ะฮ่ะ

เตรียมพร้อม !,ไป ” พอสิ้นเสียงบอกสัญญาณเริ่มการแข่งขันโดยสุนัขจิ้งจอก แล้วทั้งเต่าและกระต่ายก็เริ่มออกวิ่งไปพร้อม ๆ กัน “ปิย้อง ปิย้อง ” กระต่าย กระโดดออกวิ่งนำหน้าไปด้วยความเร็วสูง เผลอแผลบเดียวมันก็วิ่งมาจนถึงที่ตรงจุดกึ่งกลาง ของทางระหว่างภูเขา มันจึงได้หยุดวิ่ง “เจ้าเต่ามันมาถึงไหนแล้วล่ะ ? ” พูดแล้วมันก็ได้หันไปดู และก็ได้เห็นว่าเต่านั้นยังคงคลานตามมาอย่างช้า ๆ มองเห็นไกล ๆ

พวกผู้ชมที่มาชุมนุมกันต่างก็หัวเราะและได้พูดว่า “ท่านเต่า..ท่านเต่า ท่านนี่ ช่างเป็นผู้ที่เดินได้ช้ามาก อาจที่จะพูดได้ว่าเดินได้ช้าที่สุดในโลกเลยก็ได้..ฮ่ะฮ่ะ ” แม้ว่าจะได้ยินแบบนั้นแต่เต่าก็ไม่สนใจอะไรยังคงคลานของมันต่อไปด้วยความเงียบสงบอย่าง ตั้งใจเพื่อที่จะให้ไปถึงที่บนยอดเขาโดยไม่คิดที่จะหยุดพักผ่อน ข้างฝ่ายกระต่ายเมื่อรอเท่าไหร่ ๆ ก็ไม่เห็นมีทีท่าว่าเจ้าเต่าจะตามมาทันมันสักที…มันจึงเริ่ม นึกเบื่อกับการรอคอย “เจ้าเต่ามันยังคงคลานอยู่อีกตั้งไกล นอนรอซักงีบหนึ่งคงได้.. ถึงยังไงมันก็ไม่มีทางที่ตามมาทันได้หรอก” มันพูดแล้วก็ล้มตัวลงนอน แล้วหลับไปตรง ที่กลางทางตรงภูเขานั่นเอง

ในขณะที่กระต่ายกำลังหลับอยู่อย่างสนิท เต่าซึ่งได้เดินมาอย่างไม่คิดที่ จะหยุดพักผ่อนนั้น “ถึงแม้ว่าขาของข้าจะสั้นเดินได้ช้าก็จริงแต่เรื่องของ ความอดทนแล้วข้าไม่เคยยอมแพ้ให้ใคร ข้าจะต้องทำดีที่สุดเท่าที่ข้าจะทำได้!” หลังจากที่ในขณะที่เต่าได้เดิน มาจนถึงที่ตรงจุดกึ่งกลางของภูเขา พลันมันก็ได้ ยินเสียงหนึ่งซึ่งเป็นเหมือนกับเสียงกรนจากในที่แห่งหนึ่ง “เสียงกรนที่ไหนนี่… อะฮ้า เจ้ากระต่ายนี่ มันมาแอบนอนหลับอยู่ที่นี่เอง

ที่ใกล้ ๆ ตรงนั้นกระต่ายกำลังนอนหลับอยู่อย่างสุขสบาย ส่วนเต่านั้น ยังคงที่จะ เดินต่อไป…ทีละก้าว..ทีละก้าวอย่างจริงจังและอดทน และแล้วหลังจากนั้นชั่ว ขณะหนึ่งกระต่ายก็เริ่มรู้สึกตัวและสะดุ้งตื่นขึ้นมา “เฮ้..นี่เจ้าเต่า มันคลานมาจนถึงที่ไหนแล้วนี่?? ” มันรีบกวาดสายตามองหา แต่ก็ช้าและสายไปเสียแล้ว เพราะเมื่อมันมองไปที่ตรงจุดเส้นชัยที่อยู่บนยอดเขาโน่น มันก็ได้เห็นว่าเจ้าเต่ากำลังแสดง ความยินดีที่ได้รับชัยชนะอยู่อย่างมีความสุข..อยู่ในขณะนั้นเสียแล้ว

http://sukumal.brinkster.net/isoppu/kametousagi/usagi01.html

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จก็อยู่ที่นั่น

 

นิยามศัพท์ เกี่ยวกับบ้าน

บ้านที่อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง

บ้านที่อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง

บ้าน คือ ที่พัก ที่ปลอดภัย ที่ใช้ชีวิต และที่ทำกิน
เจ้าของบ้าน คือ ผู้ที่กำหนดว่าจะสร้างกี่ชั้น ด้วยอะไร ที่ไหน เมื่อไร เพื่ออะไร
ที่ดิน คือ สิ่งที่ใช้วางสิ่งก่อสร้าง
ทะเบียนบ้าน และโฉนดที่ทางการออกให้ คือ สิ่งที่อ้างอิงในการสื่อสาร ใช้อ้างสิทธิ์
ผู้รับเหมา คือ ผู้คุมงานสร้างให้เป็นตามที่เจ้าของบ้านต้องการ บางงานก็ทำเองแทนรายย่อย
สถาปนิก คือ ผู้ช่วยออกแบบบ้าน จัดสวน และหาของตกแต่ง
ผนัง เสา และคาน คือ สิ่งที่เป็นหน้าเป็นตา แสดงถึงนวัตกรรมได้
ปูน คือ สิ่งที่มีเทคนิคว่าใช้แบบใด ผสมอย่างไร ฉาบอย่างไร เชื่อมทุกอย่าง
ผู้รับเหมารายย่อย คือ ผู้รับรายละเอียดอื่นให้บ้านสมบูรณ์ น้ำ ไฟ แก๊ซ ปาเก้
เพื่อนบ้าน คือ ผู้มีน้ำใจถ้อยทีถ้อยอาศัย เป็นพันธมิตร
ลูกค้า คือ แขกบ้าน ผู้มาเยือน ผู้อาศัย ที่ทำให้บ้านไม่เป็นบ้านร้าง
หลังคา คือ สิ่งที่ถูกพบเห็นมาแต่ไกล ประทับใจที่ใช้บริการ
ผู้ร้าย คือ ผู้จ้องย่องเข้าบ้าน จะทำร้ายบ้าน หรือคนในบ้าน
ตำรวจ คือ ผู้จ้องดูแลให้บ้านและผู้อาศัยปลอดภัย
ตู้ โต๊ะ เตียง คือ ของที่มักซื้อที่สำเร็จมาใช้ ต่อไปก็เพียงดูแล ให้ใช้ได้นาน
พาหนะ คือ สิ่งที่มีไว้ขนข้าวปลา ข่าวสาร หรือผู้คน
สายโทรศัพท์ สายไฟ น้ำมัน คือ แหล่งพลัง ตัวกลาง ให้อุปกรณ์ทำงาน และสื่อสารได้
แผนสร้างบ้าน คือ สิ่งที่ไปยื่นธนาคาร กู้เงินมาสร้างบ้าน
ดูบ้านอื่น ดูแบบบ้าน คือ การช่วยเจ้าของบ้าน ออกแบบ กำหนดได้ว่าบ้านในฝันจะเป็นไง
ทำความสะอาดบ้าน คือ ขจัดสิ่งไม่ใช้ออกไป จะได้เหลือที่สำคัญเท่านั้น

ลีลาวดี หรือ ลั่นทม ที่ลำปาง

ลีลาวดี หรือ ลั่นทม

ลีลาวดี หรือ ลั่นทม

ดอกลีลาวดีสวย ๆ
กลางอาคารคณะบริหารธุรกิจ  มหาวิทยาลัยเนชั่น ลำปาง
ช่วงร้อนสุด ๆ 7 วัน ระหว่าง 21 – 27 เมษายน 2555

http://blog.eduzones.com/dingo/3466

ลีลาวดี หรือ ลั่นทม  (Frangipani, Plumeria, Templetree) เป็นไม้ดอกยืนต้นในสกุล Plumeria มีหลายชนิดด้วยกัน เมื่อก่อนบางคนมีความเชื่อว่า ไม่ควรปลูกต้นลั่นทมในบ้าน เนื่องจากมีชื่อเป็นอัปมงคล คือไปพ้องกับคำว่า ‘ระทม’ ซึ่งแปลว่า เศร้าโศก ทุกข์ใจ แต่ปัจจุบันนิยมเรียกชื่อใหม่ ว่า ลีลาวดี และนิยมปลูกกันแพร่หลายอย่างมาก ชื่อพื้นเมืองอื่นๆ ได้แก่ จำปา, จำปาลาว และจำปาขอม เป็นต้น
ลีลาวดี เป็นไม้ที่นำมาจากเขมร ทางภาคใต้ เรียกชื่อว่า “ต้นขอม” “ดอกอม”  เล่ากันว่า ไม้นี้นำเข้ามาปลูกในไทย เมื่อคราวไปตีนครธม ได้ชัยชนะ นำต้นไม้นี้เข้ามาปลูก และเรียกชื่อเป็นที่ระลึกว่า “ลั่นธม” “ลั่น” แปลว่ ตี เช่น ลั่นฆ้อง ลั่นกลอง “ธม” หมายถึง “นครธม” ภายหลัง “ลั่นธม” เพี้ยนเป็น “ลั่นทม”
ลีลาวดี เป็นพืชนิยมปลูกเพราะดอกมีสีสันหลากหลาย สวยงาม ได้แก่ขาว เหลืองอ่อน แดง ชมพู ฯลฯ บางดอกมีมากกว่า 1 สี
ลีลาวดี เป็นไม้ประดับที่มีผู้สนใจปลูกกันอย่างมากในช่วงระยะ 4-5 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากติดใจในความงามของทรงต้น ใบ และดอกที่มีหลากสีสัน โดยเมื่อนำมาปรับปรุงพันธุ์แล้วจะได้สีที่แปลกใหม่อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งดอกยังมีกลิ่นหอม อีกประการหนึ่งคือลีลาวดีเป็นพืชที่ปลูกง่าย โตเร็ว การดูแลรักษาไม่ยุ่งยาก อีกทั้งมีคุณสมบัติใช้เป็นสมุนไพร


ในอดีต ไม้ชนิดนี้จะไม่นิยมปลูกในบ้านเรือนเลย เพราะเนื่องจากความเข้าใจที่ผิดเกี่ยวกับความหมายของชื่อเดิมคือ “ลั่นทม” ทำให้ลั่นทมมีปลูกไว้เฉพาะในวัด และตามโบราณสถานต่าง ๆ ในช่วงระยะ 4-5 ปีที่ผ่านมาหลังจากเป็นที่รู้จักและคุ้นหูในนามของ “ลีลาวดี” เพียงเท่านี้ต้นลีลาวดีก็เป็นที่ต้องการของตลาดอย่างมาก โดยเฉพาะในการจัดภูมิทัศน์และจัดสวนทั้งสวนในบ้าน  บริเวณตึก อาคาร รีสอร์ท สถานที่ท่องเที่ยว และสถานที่ต่าง ๆ  นอกจากนี้ปัจจัยหนุนสำคัญที่ทำให้ความต้องการลีลาวดีขยายตัวคือ การขยายตัวของธุรกิจสปา ซึ่งจะสังเกตเห็นได้ว่าในสถานประกอบการ สปานั้นนิยมนำดอกลีลาวดีมาเป็นไม้ประดับ เนื่องจากความสวยงามของรูปทรง สีสันและกลิ่นหอมเย็น
ด้วยราคาที่สูงอย่างต่อเนื่องของลีลาวดี ทำให้มีเกษตรกรจำนวนมากหันมาปลูกลีลาวดีเพื่อการค้ากันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน เนื่องจากลีลาวดีต้นใหญ่นั้นหาได้ยากขึ้น ซึ่งเกษตรกรที่มีต้นลีลาวดีทั้งต้นใหญ่ กิ่งชำ และเมล็ด ก็จะมีลูกค้าไปติดต่อขอซื้อกันอย่างต่อเนื่อง ทำให้สามารถสร้างรายได้อย่างเป็นกอบเป็นกำให้แก่เกษตรกร
ในสมัยก่อน มีต้นลั่นทมเพียง 2 สายพันธุ์คือ
1. ลั่นทมขาว   อย่างที่เห็นกันตามวัดวาอาราม  ลั่นทมขาวจะชอบแดด มีความสูงตั้งแต่ 3 – 7 เมตร ลำต้นและกิ่งก้านดูอวบ มีสีน้ำตาลปนเทา เป็นใบเดี่ยวรูปคล้ายหอก ยาว 20 – 30 เซนติเมตร ดอกออกเป็นช่อใหญ่ที่ปลายกิ่ง ดอกมีสีขาวรูปกรวย มีกลีบดอก 5 กลีบ จะมีกลิ่นหอมมาก มีถิ่นกำเนิดมาจากประเทศเม็กซิโก
2. ลั่นทมแดง ทุกอย่างจะเหมือนลั่นทมขาว ยกเว้นใบ ที่บางครั้ง จะออกสีเขียวเข้ม ดอกมีสีแดงทั้งดอก ก้านออกเป็นสีม่วงแดง ดอกมีกลิ่นหอม ทั้งสองชนิดมีอายุยืน ตั้งแต่ 50 ถึง 100 กว่าปี
ดอกลีลาวดี ยังเป็นดอกไม้ประจำชาติ ของประเทศลาว โดยส่วนมากจะขึ้นอยู่ตอนเหนือของประเทศ ไทยทางขึ้นพระธาตุที่เมืองหลวงพระบาง


ความเชื่อ
คนโบราณมีความเชื่อว่า ต้นลั่นทมนั้น ไม่ควรปลูกในบ้าน ด้วยมีชื่ออัปมงคล คือไปพ้องกับคำว่า ระทม ซึ่งแปลว่า เศร้าโศก ทุกข์ใจ, จึงได้มีการเรียกชื่อเสียใหม่ให้เป็นมงคล ว่า ลีลาวดี ทั้งนี้ไม่ได้มีการกำหนดเปลี่ยนชื่อแต่อย่างใด
มี ความเข้าใจผิดกันว่า ลีลาวดี นั้นเป็นชื่อพระราชทาน จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ แต่แท้ที่จริงแล้วไม่ใช่ เป็นเพียงความเข้าใจผิด เพราะเป็นชื่อพระราชทานจาก สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ


ลีลาวดี ถ้าแปลตามความหมายตามอักษรแล้ว ก็คือต้นดอกไม้ที่มีท่วงท่าสวยงามอ่อนช้อย ไม้นี้เดิมเรียก ลั่นทม เป็นไม้ยืนต้นในเขตร้อน ที่เห็นทั่วๆไปมีดอกสีขาว แดง ชมพู ชื่อเดิมของพันธ์ไม้นี้คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าคำนี้มาจากคำว่า ระทมซึ่งหมายถึงความเศร้าโศกจึงไม่เป็นที่โปรดปรานปลูกในบริเวณบ้านหรือที่ อยู่อาศัย แต่แท้ที่จริงแล้วมีผู้มีความรู้ด้านภาษาไทยกล่าวถึงคำว่า ลั่นทม
ลั่นทม ที่เรียกกันแต่โบราณหมายถึง การละแล้วซึ่งความโศกเศร้าแล้วมีความสุข ดังนั้นคำว่า ลั่นทมแท้ที่จริงนั้นเป็นคำผสมจาก ลั่น+ทม โดยคำแรกหมายถึง แตกหัก ละทิ้ง และคำหลังหมายถึงความทุกข์โศก ถึงแม้ว่าการเปลี่ยนชื่อมาเป็นลีลาวดีเนื่องจากความเข้าใจในภาษาคลาดเคลื่อน แต่ชื่อใหม่นั้นก็ความไพเราะสมกับท่วงท่าของลำต้น มีตำนานเล่าขานถึงที่มาของลีลาวดีในลักษณะต่างๆกันอย่างไรก็ตามพันธ์ไม้นี้ ตามหลักสากล ได้ถูกเรียกชื่อว่า ฟรังกีปานี (frangipani) และเรียกกันทั่วๆไปว่า พลูมมีเรีย (plumeria)

ลำปางร้อนสุด .. อีกแล้ว

ร้อนสุด

ร้อนสุด

19 เมษายน 2555 กรมอุตุนิยมวิทยารายงานสภาพอากาศรายงาน
ทั่วประเทศอากาศร้อนถึงร้อนจัด เหนือร้อนตับแล่บถึง 41 องศา กทม.ร้อนสุด 37 องศา ลักษณะอากาศทั่วไป เมื่อเวลา 04:00 น. หย่อมความกดอากาศต่ำเนื่องจากความร้อนปกคลุมประเทศไทยตอนบน ทำให้ประเทศไทยมีอากาศร้อนถึงร้อนจัดกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน ประกอบกับลมใต้ พัดนำความชื้นจากอ่าวไทยเข้ามาปกคลุมภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก ส่งผลให้บริเวณดังกล่าวมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ถึงเป็นแห่งๆ กับมีลมกระโชกแรงบางพื้นที่ สำหรับลมตะวันออกที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้ ทำให้ภาคใต้มีฝนฟ้าคะนองกระจายในระยะนี้ พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยตั้งแต่เวลา 06:00 วันนี้ ถึง 06:00 วันพรุ่งนี้.

ภาคเหนือ อากาศร้อนกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน และร้อนจัดบริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอน ลำปาง และตาก โดยมีฝนฟ้าคะนองกับมีลมกระโชกแรงบางแห่ง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ ส่วนมากทางตอนล่างของภาค อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 39-41 องศาเซลเซียส ลมใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม.
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อากาศร้อนกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน โดยมีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 20 ของพื้นที่ กับมีลมกระโชกแรงบางแห่งส่วนมากบริเวณจังหวัดชัยภูมิ นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 37-38 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.
ภาคกลาง อากาศร้อนกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน โดยมีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 20 ของพื้นที่กับมีลมกระโชกแรงบางแห่ง ส่วนมากบริเวณจังหวัดอุทัยธานี ลพบุรี สระบุรี กาญจนบุรี และราชบุรี อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 37-39 องศาเซลเซียส ลมใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.
ภาคตะวันออก ทางตอนบนของภาคอากาศร้อนกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน โดยมีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 20 ของพื้นที่ กับมีลมกระโชกแรงบางแห่ง ส่วนมากบริเวณจังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว และจันทบุรี อุณหภูมิต่ำสุด 25-28 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 34-38 องศาเซลเซียส ลมใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร
ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก) ทางตอนบนของภาคอากาศร้อนในตอนกลางวัน โดยมีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-36 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร
ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก) มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดพังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล อุณหภูมิต่ำสุด 22-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-34 องศาเซลเซียส ลมแปรปรวน ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร
กรุงเทพมหานครและปริมณฑล อากาศร้อนกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน โดยมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ กับมีลมกระโชกแรงบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 26-28 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 35-37 องศาเซลเซียส ลมใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1334798475&grpid=03

18 เมษายน 2555 นายทิวา พันธ์ไม้สี หัวหน้าสถานีอุตุนิยมวิทยาลำปาง 
รายงานสภาพอากาศในช่วงนี้ ว่า จ.ลำปาง จะเจอกับสภาพอากาศ ความร้อนอบอ้าวในช่วงกลางวันไปอีก จากสภาพอากาศที่ยังคงเกิดความแปรปรวนอย่างหนักในพื้นที่จากข้อมูลทราบว่า วานนี้พบว่า อุณหภูมิในพื้นที่ อ.เถิน จ.ลำปาง ซึ่งเป็นอำเภอทางตอนใต้ของจังหวัด เกิดเป็นอุณหภูมิ ที่ร้อนสูงสุดในภาคเหนือตอนบน โดยวัดได้ 40.1 องศาเซลเซียส สำหรับในวันนี้ 18 เมษายน 2555 วัดอุณหภูมิความร้อนอบอ้าวสูงสุดในจังหวัด อยู่ที่ อ.เมืองลำปาง 38 องศาเซลเซียส จึงขอประกาศให้ประชาชนชาวลำปางได้เตรียมพร้อมรับมือกับสภาพอากาศที่จะเกิด ความร้อนสูงสุด ประกอบกับ ฝนก็ยังไม่ตกลงมาเป็นระยะเวลาหลายวัน ยิ่งอาจทำให้อุณหภูมิสูงขึ้นไปอีก แม้ทางกรมอุตุฯ จะรายงานว่าจะมีฝนตกลงมาในพื้นที่เพียงแค่ร้อยละ 10 ก็ตาม
http://news.sanook.com/1112773/%E0%B8%A5%E0%B8%B3%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B7%E0%B8%AD-/

วันปลอดควันพิษจากไฟป่า

ควันไฟจากทุ่งนา ทำให้แสบหูแสบตาได้

ควันไฟจากทุ่งนา ทำให้แสบหูแสบตาได้

วันที่ 24 ก.พ.2524 คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมมือกับกระทรวงมหาดไทย เสนอ มาตรการควบคุมไฟป่า โดยให้จัดตั้งหน่วยป้องกันไฟป่าขึ้นโดยเฉพาะ พร้อมทั้งการขอความร่วมมือจัดตั้งหน่วยอาสาสมัคร เพื่อช่วยตรวจตราป้องกัน รวมทั้งจัดหาอุปกรณ์การป้องกันไฟป่าขึ้นโดยด่วน

ทั้งนี้ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจัง ตามที่ พลตรีประมาณ อดิเรกสาร (ดำรงตำแหน่ง รองนายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น) เสนอ ดังนั้นวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2524 จึงถือได้ว่าเป็นวันกำเนิดการป้องกันไฟป่าในประเทศไทย ประกอบกับในเดือนกุมภาพันธ์ เป็นช่วงที่ตรวจพบการเผาป่ามากที่สุด และควันที่เกิดจากการเผาป่า ส่งผลกระทบ ต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน และกีดขวางการคมนาคมทางอากาศ กรมป่าไม้ จึงเสนอร่างโครงการวันปลอดควันพิษจากไฟป่าต่อคณะกรรมการการจัดการไฟป่าแห่งชาติ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา
ต่อมา คณะรัฐมนตรีได้มีมติ เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2543 เห็นชอบและอนุมัติ ให้ วันที่ 24 กุมภาพันธ์ ของทุกปีเป็น “วันรณรงค์ให้ปลอดควันพิษจากไฟป่า
วัตถุประสงค์
1. เพื่อรณรงค์ให้ประชาชน และเกษตรกร งดการจุดไฟเผาป่า เพื่อลดควันไฟที่เกิดจากการเผาป่า
2. สร้างความรู้ ความเข้าใจ และความตระหนักให้แก่ประชาชน นักเรียน นักศึกษา หน่วยราชการ องค์กรเอกชน ถึงอันตรายและผลกระทบของควันที่เกิดจากไฟป่า
3. เพื่อป้องกันและอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ จากการจุดไฟเผาป่า

กิจกรรมวันรณรงค์ให้ปลอดควันพิษจากไฟป่า
1.หน่วยงานในสังกัดกรมป่าไม้ และหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการประชาสัมพันธ์ทุกรูปแบบ เช่น การจัดนิทรรศการ เดินรณรงค์ขอความร่วมมือประชาชน เกษตรกร งดจุดไฟเผาป่า
2. กิจกรรมการรณรงค์การลดเชื้อเพลิง และทำแนวกันไฟ (โดยไม่จุดไฟ)
2.1 การรณรงค์และส่งเสริมให้เกษตรกร นำกิ่งไม้ ใบไม้ในพื้นที่ป่า หรือวัชพืช มาทำปุ๋ยหมัก เพื่อนำไปใช้บำรุงพืชผล หรือฝังกลบแทนการเผาทำลาย เป็นการลดเชื้อเพลิง
2.2 การทำแนวกันไฟ โดยหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องร่วมกับอาสาสมัครป้องกันไฟป่า

http://www.tungsong.com/Important_Day/Fire/index.asp
http://www.dnp.go.th/forestfire/24%20feb.htm
http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A9%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%9B%E0%B9%88%E0%B8%B2/

ในทุ่งนา

ในทุ่งนา

สาเหตุของการเกิดไฟป่ามี 2 สาเหตุ

fire

fire

ไฟป่าเกิดจาก 2 สาเหตุ คือ สาเหตุจากธรรมชาติ และสาเหตุจากมนุษย์
1. สาเหตุจากธรรมชาติ
ไฟป่าที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ เช่น ฟ้าผ่า กิ่งไม้เสียดสีกัน ภูเขาไฟระเบิด ก้อนหินกระทบกัน แสงแดดตกกระทบผลึกหิน แสงแดดส่องผ่านหยดน้ำ ปฏิกริยาเคมีในดินป่าพรุ การลุกไหม้ในตัวเองของสิ่งมีชีวิต (Spontaneous Combustion) โดยทั่วไปมี 2 สาเหตุ ดังนี้
1.1 ฟ้าผ่า เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดไฟป่าในเขตอบอุ่น ในประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศแคนาดา พบว่ากว่าครึ่งหนึ่งของไฟป่าที่เกิดขึ้นมีสาเหตุมาจากฟ้าผ่า ทั้งนี้โดยที่ฟ้าผ่าแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ
(1) ฟ้าผ่าแห้ง (Dry or Red Lightning) คือ ฟ้าผ่าที่เกิดขึ้นในขณะที่ไม่มีฝนตก มักเกิดในช่วงฤดูแล้ง สายฟ้าจะเป็นสีแดง เกิดจากเมฆที่เรียกว่าเมฆฟ้าผ่า ซึ่งเมฆดังกล่าวจะมีแนวการเคลื่อนตัวที่แน่นอนเป็นประจำทุกปี ฟ้าผ่าแห้งเป็นสาเหตุสำคัญของไฟป่าในเขตอบอุ่น
(2) ฟ้าผ่าเปียก (Wet or Blue Lightning) คือ ฟ้าผ่าที่เกิดควบคู่ไปกับการเกิดพายุฝนฟ้าคะนอง (Thunderstorm) ดังนั้นประกายไฟที่เกิดจากฟ้าผ่า จึงมักไม่ทำให้เกิดไฟไหม้ หรืออาจเกิดได้บ้างแต่ไม่ลุกลามไปไกล เนื่องจากความชื้นสัมพัทธ์และความชื้นของเชื้อเพลิงสูง ฟ้าผ่าในเขตร้อนรวมถึงประเทศไทยมักจะเป็นฟ้าผ่าเปียก จึงแทบจะไม่เป็นสาเหตุของไฟป่าในเขตร้อนนี้เลย
1.2 กิ่งไม้เสียดสีกัน อาจเกิดขึ้นได้ในพื้นที่ป่าที่มีไม้ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่นและมีสภาพอากาศแห้งจัด เช่น ในป่าไผ่หรือป่าสน

2. สาเหตุจากมนุษย์
ไฟป่าที่เกิดในประเทศกำลังพัฒนาในเขตร้อนส่วนใหญ่ มีสาเหตุมาจากกิจกรรมของมนุษย์ สำหรับประเทศไทยจากการเก็บสถิติไฟป่าตั้งแต่ปี พ.ศ. 2528-2542 ซึ่งมีสถิติไฟป่าทั้งสิ้น 73,630 ครั้ง พบว่าเกิดจากสาเหตุตามธรรมชาติ คือ ฟ้าผ่าเพียง 4 ครั้ง ได้แก่ 1) ที่ภูกระดึง จังหวัดเลย 2) ที่ห้วยน้ำดัง จังหวัดเชียงใหม่ 3) ที่ท่าแซะ จังหวัดชุมพร และ 4) ที่เขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา แห่งละหนึ่งครั้ง ดังนั้นจึงถือได้ว่าไฟป่าในประเทศไทยทั้งหมดเกิดจากการกระทำของคน โดยมีสาเหตุต่างกันไป ได้แก่
2.1 เก็บหาของป่า เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดไฟป่ามากที่สุด การเก็บหาของป่าส่วนใหญ่ได้แก่ ไข่มดแดง เห็ด ใบตองตึง ไม้ไผ่ น้ำผึ้ง ผักหวาน และไม้ฟืน การจุดไฟส่วนใหญ่เพื่อให้พื้นป่าโล่ง เดินสะดวก หรือให้แสงสว่างในระหว่างการเดินทางผ่านป่าในเวลากลางคืน หรือจุดเพื่อกระตุ้นการงอกของเห็ด หรือกระตุ้นการแตกใบใหม่ของผักหวานและใบตองตึง หรือจุดเพื่อไล่ตัวมดแดงออกจากรัง รมควันไล่ผึ้ง หรือไล่แมลงต่างๆ ในขณะที่อยู่ในป่า
2.2 เผาไร่ เป็นสาเหตุที่สำคัญรองลงมา การเผาไร่ก็เพื่อกำจัดวัชพืชหรือเศษซากพืชที่เหลืออยู่ภายหลังการเก็บเกี่ยว ทั้งนี้เพื่อเตรียมพื้นที่เพาะปลูกในรอบต่อไป ทั้งนี้โดยปราศจากการทำแนวกันไฟและปราศจากการควบคุม ไฟจึงลามเข้าป่าที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง
2.3 เลี้ยงปศุสัตว์ ประชาชนที่เลี้ยงปศุสัตว์แบบปล่อยให้หากินเองตามธรรมชาติ มักลักลอบจุดไฟเผาป่าให้โล่งมีสภาพเป็นทุ่งหญ้า เพื่อเป็นแหล่งอาหารสัตว์
2.4 ล่าสัตว์ โดยใช้วิธีไล่เหล่า คือจุดไฟไล่ให้สัตว์หนีออกจากที่ซ่อน หรือจุดไฟเพื่อให้แมลงบินหนีไฟ นกชนิดต่าง ๆ จะบินมากินแมลง แล้วดักยิงนกอีกทอดหนึ่ง หรือจุดไฟเผาทุ่งหญ้า เพื่อให้หญ้าขึ้นใหม่ ล่อให้สัตว์ เช่น กระทิง กวาง กระต่าย มากินหญ้า แล้วดักรอยิงสัตว์นั้น ๆ
2.5 แกล้งจุด ในกรณีที่ประชาชนในพื้นที่มีปัญหาความขัดแย้งกับหน่วยงานของรัฐในพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาเรื่องที่ทำกินหรือถูกจับกุมจากการกระทำผิดในเรื่อง ป่าไม้ ก็มักจะหาทางแก้แค้นเจ้าหน้าที่ด้วยการเผาป่า
2.6 ความคึกคะนอง บางครั้งการจุดไฟเผาป่าเกิดจากความคึกคะนองของผู้จุด โดยไม่มีวัตถุประสงค์ใด ๆ แต่จุดเล่นเพื่อความสนุกสนาน เท่านั้น
2.7 ความประมาท เกิดจากการเข้าไปพักแรมในป่า ก่อกองไฟแล้วลืมดับ หรือทิ้งก้นบุหรี่ลงบนพื้นป่า เป็นต้น

http://www.dnp.go.th/forestfire/FIRESCIENCE/lesson%201/lesson1_6.htm

ลำปาง ควันอันดับหนึ่งอีกแล้ว

ควันลำปาง

ควันลำปาง

จัดอันดับจังหวัดที่มีหมอกควันไฟสูงในประเทศไทย ประจำวันที่ 26 ก.พ.55
อันดับหนึ่ง อ.แม่เมาะ จ.ลำปาง วัดได้ 279 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
อันดับสอง สนามกีฬากลาง จ.ลำพูน วัดได้ 274.50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
อันดับสาม จ.แพร่ วัดได้ 232.33 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
อันดับสี่ กว๊านพะเยา จ.พะเยา วัดได้ 229.92 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2555 กรมควบคุมมลพิษ รายงานสภาพอากาศมายังจังหวัดลำปาง โดยได้ส่งให้สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมจังหวัดลำปาง ซึ่งทางกรมควบคุมมลพิษ ได้กำชับให้ทางจังหวัดลำปาง เร่งหาแนวทางป้องกัน และลดสถานการณ์หมอกควันไฟให้เร็วที่สุด เนื่องจากค่าได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยขณะนี้ถือว่า ค่าฝุ่นละอองขนาดเล็กในหมอกควันไฟได้พุ่งสูงขึ้นจนอยู่ในระดับวิกฤต และเป็นอันตรายต่อประชาชนในพื้นที่อย่างมาก โดยค่าเฉลี่ยในวันนี้ของ จ.ลำปาง ถือว่าเป็นค่าที่พุ่งสูงสุดในประเทศไทย และเป็นค่าที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน วัดได้ที่ ต.บ้านดง อ.แม่เมาะ จ.ลำปาง

ทั้งนี้ สถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศแบบอัติโนมัติของกรมควบคุมมลพิษ ที่ตั้งอยู่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบลบ้านท่าสี ต.บ้านดง อ.แม่เมาะ วัดได้ 279 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ถือว่าเป็นค่าสูงสุดในประเทศไทยในวันนี้ ส่วนสถานีที่ตั้งอยู่บริเวณการประปาแม่เมาะ อ.แม่เมาะ จ.ลำปาง วัดได้ 270.71 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร สถานีที่ตั้งอยู่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบลสบป้าด อ.แม่เมาะ วัดได้ 222.36 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ถือว่าทุกสถานีตรวจวัด มีค่าเกินมาตรฐานทุกแห่ง ส่วนสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศแบบอัติโนมัติของกรมควบคุมมลพิษ ที่ตั้งอยู่ข้างศาลหลักเมืองลำปาง อ.เมือง เทศบาลนครลำปาง เครื่องเกิดขัดข้อง ไม่สามารถรายงานค่าได้

อย่างไรก็ตาม  จ.ลำปาง ถือว่า สถานการณ์น่าเป็นห่วง และเข้าสู่ในระดับที่ทางกรมควบคุมมลพิษ ต้องจับตามองสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพราะสถานการณ์ได้เข้าสู่ระดับที่รุนแรงเพิ่มขึ้น จนเกือบถึง 300 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร สำหรับจังหวัดทางภาคเหนือ ที่ค่าพุ่งสูงกว่า 200 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ที่ต้องติดตามสถานการณ์เช่นกัน คือ จ.ลำพูน สถานีตรวจวัดที่ตั้งอยู่สนามกีฬากลาง จ.ลำพูน วัดได้ 274.50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร จ.แพร่ สถานีตรวจวัดตั้งอยู่สถานีอุตุนิยมวิทยา จ.แพร่ วัดได้ 232.33 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และ จ.พะเยา สถานีตั้งอยู่ที่อุทยานการเรียนรู้กว๊านพะเยา จ.พะเยา วัดได้ 229.92 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1330238419&grpid=02&catid=02

หมอกควัน ที่ลำปาง กระทบการบิน

http://www.youtube.com/watch?v=cgAC8PULEqo
นายทิวา พันธ์ไม้สีนายทิวา พันธ์ไม้สี

สภาพอากาศโดยทั่วไปของจังหวัดลำปาง เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2555 ยังคงมีหมอกควันไฟปกคลุมพื้นที่อยู่อย่างหนาแน่น หลังจากเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2555 ค่าเฉลี่ยฝุ่นละอองในหมอกควันไฟที่ปกคลุมพื้นที่ จ.ลำปาง พุ่งสูง มีมากกว่า 200 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ทำให้ทัศนวิสัยในช่วงเช้า มองเห็นในระยะที่ต่ำอย่างมากวัดได้เมื่อวานนี้ 800 เมตร แต่ในวันนี้ ทางสถานีอุตุนิยมวิทยาลำปาง ตรวจการมองเห็นระยะไกลในช่วงเช้า พบว่ามีระยะมองเห็นเพียง 400 เมตร ถือว่าเป็นทัศนวิสัยที่ไม่ดีอย่างมาก

ทั้งนี้ ส่งผลให้ทางสถานีอุตุนิยมวิทยาลำปาง ได้แจ้งเตือนไปยังท่าอากาศยานลำปาง และทางหอบังคับการบินลำปาง ให้ได้รับทราบถึงทัศนวิสัยมองเห็นเพียง 400 เมตร เพื่อให้ประสานไปยังนักบิน ที่จะนำเครื่องบินขนาด 70 ที่นั่งของสายการบินบางกอกแอร์เวย์กรุงเทพฯ-ลำปาง และได้จอดพักรออยู่ที่ท่าอากาศยาน จ.สุโขทัย เพื่อรอให้ทางหอบังคับการบินลำปาง รับรายงานตรวจทัศนวิสัยมองเห็นระยะไกลก่อน ว่าทัศนวิสัย ดีขึ้นหรือไม่ หากดีขึ้น ก็จะบินขึ้นจาก จ.สุโขทัย เพื่อมายัง จ.ลำปาง ทันที

นอกจากผลกระทบต่ออากาศยานแล้ว ยังกระทบต่อทัศวิสัยในการมองเห็นบนท้องถนนอีกด้วย ทางสถานีอุตุนิยมวิทยาลำปาง โดยนายทิวา พันธ์ไมสี หัวหน้าสถานีอุตุนิยมวิทยาลำปาง ได้ประกาศแจ้งเตือนให้ผู้ขับขี่รถทุกชนิดได้ระมัดระวังจากสภาพอากาศดังกล่าว หากขับผ่านหุบเขาในช่วงที่หมอกหยาวเย็นและหมอกควันไฟปกคลุมพื้นที่อยู่อย่าง หนาแน่น โดยเฉพาะในช่วงกลางดึก และเช้ามืด

ถ้าปลอดภัยต้องไม่เกิน 120 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

http://breakingnews.nationchannel.com/read.php?newsid=554045

http://www.cmmet.tmd.go.th/met/station.php

http://www.facebook.com/MorningNewsTV3/posts/326961677356039